Banner-Yamaha-Fazzio-X-Fila-2024-1150x250.gif
Banner-Yamaha-Fazzio-X-Fila-2024-400x300.gif

รีวิวการทดสอบขับขี่ All New Yamaha MT-09 2017 โดยทีมงาน GreatBiker

6429

สำหรับ All New Yamaha MT-09 2017 ที่ทางทีมงาน GreatBiker ได้ร่วมทดสอบในครั้งนี้นั้น ถือว่าเป็นรถแนวสปอร์ตเนกเกตที่กำลังอยู่ในกระแส ซึ่งชื่อเสียงของรหัสนี้ก็เป็นที่รู้จักกันอย่างดีตั้งแต่เวอร์ชั่นแรกที่ออกมาอาละวาดก่อนหน้านี้ เรามาร่วมรับประสบการณ์การทดสอบขับขี่ไปพร้อมๆ กันเลยครับ

สำหรับในการออกแบบของ All New MT-09 นั้นแน่นอนว่าส่วนแรกที่โดดเด่นขึ้นมาก็คือไฟ LED 2 ดวงแยกฝั่งซ้ายขวาชัดเจน ซึ่งแต่ละดวงนั้นก็จะมีหลอด LED 2 หลอดเล็กบรรจุอยู่ นับรวมทั้งหมดเป็น 4 หลอด (2 ฝั่ง) และใต้ LED ทั้งสองฝั่งยังมีไฟรันนิ่งไลท์อยู่ด้านใต้ด้วย ตรงนี้ถือว่าเป็นดีไซน์ที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว แต่ในส่วนตำแหน่งของไฟเลี้ยวนั้นมีการโยกย้ายไปอยู่ด้านข้างหม้อน้ำแทน และสำหรับในส่วนของไฟท้ายนั้นก็เป็นแบบ LED 3 มิติเป็นรูปทรงตัว “M” ในส่วนของโครงสร้างรถนั้น การออกแบบจะเน้นการใช้เส้นสายที่เฉียบคม และมีความกระชับมากขึ้นกว่าเดิม ด้านท้ายสั้นลงกว่าเดิม 30mm และเบาะนั่งนั้นมีการออกแบบใหม่ด้วย โดยเบาะนั้นมีความหนามากกว่าเดิม 5mm และมีการปรับรูปทรงให้เหมาะสมยิ่งขึ้นสำหรับการที่ผู้ขี่เองนั้นจะทำการเบรก, เข้าโค้ง หรือว่าเร่ง ก็ทำได้ถนัดมากยิ่งขึ้น ทั้งหมดทั้งมวลนี้ทางค่าย Yamaha เองนั้นต้องการทีจะสร้างความแตกต่างกับรถในแนวเดียวกันคันอื่นๆ ในท้องตลาดอย่างชัดเจน

blank

ในส่วนของเครื่องยนต์นั้นเป็นเครื่องยนต์ขนาด 847 cc แบบ 3 สูบ DOHC 4 จังหวะ 4 วาล์ว แบบ crossplane ที่รวมเอาข้อดีของรถแบบ 2 สูบและ 4 สูบเข้าไว้ด้วยกัน ทำให้มีอัตราการเร่งที่ดีในทุกย่านความเร็ว ตัวเครืองยนต์ระบายความร้อนด้วยหม้อน้ำ จ่ายน้ำมันด้วยระบบหัวฉีด ขนาดกระบอกสูบ x ช่วงชักเท่ากับ 78.0 mm x 59.1 mm อัตราส่วนกำลังอัดเท่ากับ 11.5:1 ให้แรงม้ามาอยู่สูงสุดที่ 115PS ที่ 10,000 รอบต่อนาที และทอร์คสูงสุดที่ 87.5 Nm ที่ 8,500 รอบต่อนาที คัลทช์เป็นแบบเปียก สตาร์ทมือไฟฟ้า ขับเคลื่อนด้วยโซ่กับระบบเกียร์ 6 สปีด

ต่อมาในส่วนของเฟรมรถนั้นเป็นแบบไดมอนด์ โช้คอัพด้านหน้าเป็นแบบ Telescopic forks หัวกลับ ที่มีระยะ Front travel (ระยะยุบตัวของโช็ค) ขนาด 137 mm ส่วนด้านท้ายเป็นแบบโมโนลิงค์ ที่มีระยะ Rear Travel (ระยะยุบตัวของโช็ค) ขนาด 130 mm ทำงานร่วมกับสวิงอาร์ม ขยับมาดูที่ช่วงล่างกันบ้าง ระบบเบรกหน้านั้นเป็นแบบดิสก์คู่ไฮดรอลิกขนาด 298 mm ส่วนด้านหลังเป็นแบบดิสก์เดี่ยวไฮดรอลิกขนาด 245 mm บางหน้าเป็นแบบ Tubeless (ไร้ยางใน) ขนาด 120/70ZR17M/C (58W) ส่วนด้านหลังเป็นแบบ Tubeless เช่นเดียวกันขนาด 180/55ZR17M/C (73W) มิติของตัวรถนั้นมีขนาดยาว 2,075 mm กว้าง 815 mm สูง 1,120 mm ความสูงเบาะนั่ง 820 mm และระยะห่างระหว่างล้อหน้าและล้อหลังเท่ากับ 1,440 mm น้ำหนักตัวรถโดยรวมอยู่ที่ 193 กก. ถังน้ำมันจุมา 14 ลิตร

และที่น่าสนใจไม่น้อยก็คือตัวรถ MT-09 2017 นั้นจะมีระบบออพชั่นต่างๆ อย่างเช่น Quick Shift System (QSS) ระบบในการช่วยเปลี่ยนเกียร์โดยไม่ต้องบีบคลัทช์ เช่นเดียวกันกับที่ใช้ใน R1 และยังมีระบบ Assist & Slipper (A&S) clutch ที่ช่วยในการป้องการล้อหมุนฟรีที่เกิดจากเอนจิ้นเบรก ที่จะช่วยให้การขับขี่นั้นปลอดภัยมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม, Adjustable suspension for enhanced sports riding ช่วยในการปรับระดับของระบบกันสะเทือนทั้งหน้าและหลัง, D-Mode adjustable engine character ที่จะช่วยในการปรับโหมดการขับขี่ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่แตกต่าง, ที่ใส่ป้ายทะเบียนด้านหลังนั้นเป็นแบบแขนเดี่ยว mounted licence plate holder ที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร

ความรู้สึกของทางทีมงาน GreatBiker หลังจากการทดสอบขับขี่ที่สนามช้างอินเตอร์เนชันเนลฯ

blank

MT-09 ความรู้สึกตอนสัมผัสครั้งแรกหลังจากได้คร่อมแล้ว ด้วยความสูงของผู้ขับขี่ที่ 170 เซนติเมตร ก็ยังลงได้ไม่เต็มเท้านักมีเขย่งบ้าง ลักษณะท่าทางการนั่งตัวจะโน้มไปข้างหน้าเล็กน้อย ตามสไตล์เนกเกตไบค์ เบาะนั่งถูกออกแบบมาให้เป็นตอนเดียวนั่งได้เต็มสะโพก ตำแหน่งการวางมือจับแฮนด์จะถูกกดด้วยน้ำหนักตัว แต่ด้วยแฮนด์บาร์ที่กว้างทำให้กระจายน้ำหนักได้ดี  วิสัยทัศน์ในการมองขณะขับขี่ถือว่าเป็นปกติตามแนวรถเน็กเกต

อัตราเร่งของเจ้า MT-09 ด้วยเครื่องยนต์ขนาด 847 CC 3สูบเรียง ถือว่ามีครบทั้งต้น กลาง ปลาย ไม่ได้จัดจ้านไปในทางใดทางหนึ่ง ก็ให้ความรู้สึกขับขี่สนุกไปอีกแบบนึง แต่การใช้ความเร็วที่สูงก็ต้องเจอลมมาประทะกับผู้ขับขี่โดยตรงค่อนข้างมากทีเดียวอาจจะต้องให้ลำตัวแนบกับถังน้ำมันให้มากขึ้นขณะใช้ความเร็ว

ช่วงล่างของ MT-09 ในโฉมปี 2017 ได้มีการปรับปรุงโช๊คหน้าที่ตอบสนองได้ดีขึ้น มั่นใจในการเข้าโค้งมากขึ้น  การคอนโทรลรถถือว่าตอบสนองได้ดีมากในลักษณะการที่มีโค้งถี่ๆตามสไตล์รถเน็กเกต โดยโหมดการขับขี่ก็ยังคงมีมาให้ เพื่อช่วยให้เราปรับตามสภาวะการใช้งานที่แตกต่างกัน

blank

ซึ่งบทสรุปของการทดสอบนั้นทางเรามองว่ามันเป็นรถแนวเนกเกตที่ขี่สนุกสนานเอามากๆ หากว่าเอามาใช้งานในเมืองนั้นจะเหมาะมากที่สุด ด้วยความคล่องตัวของมันและแรงบิดอันมหาศาล อย่างไรก็ตามมันก็ยังคงให้ความรู้สึกที่มันส์มากๆ เช่นเดียวกัน สำหรับการลงวิ่งในสนามแข่งด้วย ถึงแม้ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ตัวเดิมกับเวอร์ชั่นแรก แต่ด้วยออพชั่นและส่วนประกอบต่างๆ ที่ปรับปรุงมาให้ดีขึ้นในหลายๆ ด้าน มันก็ถือว่าคุ้มค่าคุ้มราคาเอามากๆ เลยทีเดียว เชื่อว่าหลังจากทยอยส่งมอบรถกันแล้ว เราจะเห็นมันตามท้องถนนไม่น้อยแน่ๆ โดยมีราคา 399,000 บาท

ขอบคุณทางบริษัทไทยยามาฮ่ามอเตอร์ สำหรับการเอื้อเฟื้อรถในการทดสอบครั้งนี้ด้วยครับ