Banner-Yamaha-Fazzio-X-Fila-2024-1150x250.gif
Banner-Yamaha-Fazzio-X-Fila-2024-400x300.gif

All New Kawasaki Ninja 400 จ่อเปิดตัวในไทย มาพร้อมกับ 2 เวอร์ชั่นด้วยกัน

pVCqjMX

และแล้วก็เป็นไปตามคาด กับการส่งสัญญาณมาจากทางดีลเลอร์ตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย เกี่ยวกับการเปิดตัวของ All New Kawasaki Ninja 400 ที่เปิดตัวครั้งแรกในโลกไปที่งาน โตเกียวมอเตอร์โชว์ ล่าสุดที่ผ่านมา ซึ่งอย่างที่ทราบกันดีว่ามันจะมาแทนที่ Ninja 300 คันเดิมที่เลิกผลิตไป โดยในบ้านเรานั้นมีลุ้นเต็มตัวกับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน MotorEXPO ที่กำลังจะมาถึงนี้

มาดูขุมกำลังเครื่องยนต์บล็อกใหม่ของ All New Kawasaki Ninja 400 กันก่อน ด้วยการออกแบบเครื่องยนต์ใหม่ขนาด 399 ซีซี  4 จังหวะ 2 ลูกสูบเรียง 8 วาล์ว ระบายความร้อนด้วยน้ำ ขนาดกระบอกสูงคูณช่วงชักจะอยู่ที่ 70.0 X 51.8 มิลลิเมตร ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับ Ninja 300 นั้นจะอยู่ที่ 62.0 X 49 มิลลิเมตร โดยเจ้าเครื่องยนต์ใหม่นี้ให้แรงม้าสูงสุดที่ 44.8 HP ที่ 10,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 38 นิวตันเมตรที่ 8000 รอบต่อนาที ซึ่งดูแล้วให้สมรรถนะที่เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้นว่าขนาดของกระบอกสูบจะมากกว่าก็ตาม รวมไปถึงการออกแบบช่องลมพิเศษที่มีขนาดที่ใหญ่กว่า และการดัดแปลงช่อง Downdraft intake ให้มีขนาดที่สั้นลง จะทำให้การทำงานของระบบระบายความร้อนนั้นทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งการน้ำเอาลมเข้ามาผสมช่วยกับระบบหม้อน้ำ ซึ่งจะเป็นการรักษาอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ให้ยาวนานมากขึ้น รวมไปถึงสายโมดิฟายที่จะปรับจูนแรงม้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องของความร้อนที่จะเกิดขึ้น

blank

ในขณะที่เจ้าโครงสร้างตัวถังที่ได้รับการออกแบบใหม่นั้นเป็นแบบ Trellis High-Tensile Steel ที่สามารถทดทานต่อแรงบิดได้สูงกว่า Semi – Double Candle ที่อยู่ใน Ninja300 รวมไปถึงมีน้ำหนักที่เบากว่าเดิม ทำให้น้ำหนักของเจ้า Ninja 400 คันนี้มีน้ำหนักตัวเพียง 168 กิโลกรัม ซึ่งเบากว่า Ninja 300 อยู่ถึงเกือบ 8 กิโลกรัม ซึ่งมันก็สอดคล้องกับ Swingarm แบบใหม่ที่ทางทีมพัฒนาได้ออกแบบมาให้ติดกับโครงสร้างหลัก โดยติดตั้งอยู่บริเวณหลังของเครื่องยนต์ ทำให้จุดรวมของน้ำหนักนั้นอยู่บริเวณกลางตัวรถพอดิบพอดี ซึ่งมันจะทำให้การควบคุมรถนั้นทำได้ง่ายกว่า Ninja 300 ที่จุดศูนย์ถ่วงนั้นจะกระจายไปทางด้านหน้าซะมากกว่า โดยรูปลักษณ์การออกแบบนั้นทาง Kawasaki ได้ใช้แรงบันดาลใจมาจากสปอร์ตรุ่นใหญ่ของทางค่ายอย่างเจ้า H2 โดยวางแนวทางไว้ที่ “Street Born – Track Inspired” ซึ่งหมายความถึงเกิดมาเพื่อขับขี่บนท้องถนน แรงบันดาลใจจากสนามแข่งขัน ซึ่งทำให้เจ้า Ninja 400 คันนี้มีความบึกบึน หล่อล่ำ แบบเดียวกับที่ Ninja H2 เป็นนั่นเอง

blank

มาดูส่วนของระบบกันสะเทือนหน้ากันบ้าง เพื่อนๆ หลายๆ คนอาจจะผิดหวังว่าทำไม่ Kawasaki ไม่เลือกใช้โช้คอัพแบบ USD หรือ Upside- Down ตามสมัยนิยมเฉกเช่นค่ายรถคู่แข่งใส่มาในรถมอเตอร์ไซค์ระดับนี้กันแทบจะถูกค่ายแล้ว ซึ่งหากเรามองแบบผ่านๆ ก็อาจจะเป็นเรื่องของการทำราคาให้ไม่สูงจนเกินไป แต่ถ้าย้อนกลับมาดูกันจริงๆ แล้ว มันมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น โดยโมเดล Ninja 300 นั้น ขนาดของแกนโช้คหน้าจะอยู่ที่ 37 มิลลิเมตร ซึ่งโมเดลใหม่อย่าง Ninja 400 นั้นให้ขนาดแกนโช้คมาถึง 41 มิลลิเมตร ซึ่งถือว่าเป็นขนาดที่ใหญ่มากๆในระดับเครื่องยนต์พิกัด 400 ซีซี  ซึ่งสอดคล้องกับระบบกันสะเทือนหลังแบบ Monoshock ที่สามารถปรับระดับได้ถึง 5 ระดับ นั้นก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับรถมอเตอร์ไซค์ในคลาสนี้

blank

ระบบเบรกของ Ninja 400 มาในระบบดิสก์เดี่ยวขนาด 310 มิลลิเมตร ปั้มเบรก 2 ลูกสูบ ในด้านหน้าและด้านหลัง ดิสก์เดี่ยวขนาด 220 มิลลิเมตร พร้อมปั้มเบรกแบบคู่ พร้อมระบบ ABS ที่เป็นมาตรฐาน (โดยเฉพาะในโมเดลที่ส่งขายในยุโรปจำเป็นต้องมีตามกฎข้อบังคับ Euro4) ซึ่งมาพร้อมกับระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่อย่าง Assistant&Slipper Clutch เช่นเดียวกับที่อยู่ใน Ninja 300 แต่รับการพัฒนาขึ้นไปอีกระดับ ให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม ในขณะที่ระบบไฟหน้าและไฟท้ายนั้นมาในรูปแบบของ LED ที่ให้ความสว่างที่เพียงพอในการขับขี่ยามค่ำคืน รวมไปถึงระบบไฟเลี้ยวนั้นก็มาเป็นแบบ LED ด้วยเช่นกัน รูปแบบของหน้าจอแสดงผลนั้นยังคงความเป็น Kawasaki ด้วยระบบดิจิตอลผสมอนาล็อก โดยได้เพิ่มความพิเศษด้วยไฟบอกตำแหน่งเกียร์มาให้ด้วย พร้อมช่องไฟ AC ขนาด 12 V มาให้พร้อมใช้งาน

blank

blank

โดยค่อนข้างแน่นอนแล้วว่าในประเทศไทยเรานั้นจะมาอยู่ 2 เวอร์ชั่นด้วยกันนั่นก็คือ Ninja 400 สีดำ Metallic Spark Black และ Ninja 400 รุ่นพิเศษสีเขียวดำ (เหมือนกับรูปที่เราเห็นในข่าวนี้) KRT Edition ที่เป็นลายแข่งของทางทีม Kawasaki นั่นเอง สำหรับราคาเปิดตัวนั้นยังไม่ชัดเจน แต่ทางเราคาดเดาว่ามันจะอยู่ที่ประมาณ 199,000 บาทสำหรับสีดำ และประมาณ 215,000 บาทสำหรับ KRT Edition ทั้งนี้รอลุ้นราคาเปิดตัวกันจริงๆ ได้ในงาน MotorEXPO ที่กำลังจะมาถึงนี้ ทาง GreatBiker จะรายงานสดกันทั้งทางเว็บไซต์, หน้าเพจ และไลฟ์สดมาฝากกัน