ทดลองขับขี่ Indian-Victory
เมื่อวันที่ 2 ธันวาคมที่ผ่านมา บริษัท อินเดียนขวิคตอรี่ มอเตอร์ไซเคิล จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ Indian และ Victory แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ได้จัดกิจกรรม “Indian-Victory Exclusive Press Trip 2014” เพื่อร่วมกันเปิดประสบการณ์การขับขี่ไลฟ์สไตล์รถทั้งสองแบรนด์ โดยในครั้งนี้นั้นใช้เส้นทางสำหรับการทดสอบ กรุงเทพฯ-บางแสน-กรุงเทพฯ ซึ่งทางเหล่าผู้ทดสอบก็ได้รับเชิญเข้าร่วมสำหรับบททดสอบในครั้งนี้ด้วย
สำหรับในกิจกรรมครั้งนี้นั้น มีรถที่ใช้ในการทดสอบทั้งสิ้น 5 คัน แบ่งเป็น Victory 3 คัน ประกอบด้วยรุ่น Judge, Cross Country และ Hammer S และ Indian อีก 2 คัน ประกอบด้วยรุ่น Chief Classic และ Chieftain พร้อมกันนั้นยังได้จัดเตรียมรถโมบายเซอร์วิส สำหรับเป็นรถนำขบวนและปิดท้าย ระหว่างการขับขี่ท่องเที่ยวในทริปนี้ โดยได้รับเกียรติอย่างสูงจากรรมการผู้จัดการบริษัท ทั้งท่าน คุณณัญพล ไตรณัฐี ซึ่งได้เลือกขับขี่รถ Victory Arlen Ness Vision เป็นผู้นำขบวนในช่วงแรก และคุณณัฐบูร ไตรณัฐี ได้เลือกขับขี่รถ Indian Chief Vintage เป็นผู้ขี่ปิดท้ายให้ตลอดทั้งทริป
การทดสอบขับขี่ในช่วงขาไป กรุงเทพฯ-บางแสน โดยได้ขับขี่รถทั้ง 2 รุ่น คือ Victory Hammer S และ Indian Chief Classic สำหรับเส้นทางในการเดินทางครั้งนี้นั้น ได้เริ่มเดินทางออกจากโชว์รูม Indian Victory ที่ซอยพัฒนาการ 76 มุ่งหน้าออกไปยังเส้นมอเตอร์เวย์ ก่อนตัดกลับเข้ามายังเส้นบางนาตราด เมื่อมุ่งหน้าสู่จังหวัดชลบุรี ในช่วงแรกนี้ทางเราได้ลองขี่ Victory Hammer S รถในสไตล์ American Dragster
ในช่วงแรกนี้ทางเราได้ลองขับขี่เจ้า Victory Hammer S รถในสไตล์ American Dragster ที่มากับล้อหลังขนาดใหญ่ ที่ยางหน้ารัดด้วยไซส์ขนาด 250 mm. จากโรงงาน ตัวรถที่ดูปราดเปรียวและมีน้ำหนักที่ไม่สูงมากนัก 305 กิโลกรัม สำหรับทางด้านหลังจะมีฝาครอบเบาะท้ายมาให้ ซึ่งสามารถถอดออกได้หากมีผู้ซ้อนท้าย ในด้านของระบบเบรกใช้เบรกแบบจานดิสก์คู่ ขนาด 300 มม. คาลิปเปอร์ 4 สูบ และจานดิสก์หลังเดี่ยวขนาด 250 มม. คาลิปเปอร์ 2 ลูกสูบ
ตามต่อกันที่เครื่องยนต์ เป็นแบบ V-Twin 50 องศา ขนาด 106 ลบ.นิ้ว 1,731 ซีซี ให้แรงบิดสูงสุดที่ 104 ปอนด์-ฟุต ให้กำลังการขับเคลื่อนได้อย่างดีเยี่ยม ตอบสนองได้รวดเร็วทันใจ แรงบิดที่ให้มานั้นสามารถเรียกรอบได้ตั้งแต่รอบเครื่องที่ต่ำ ซึ่งสำหรับความคิดเห็นส่วนตัวแล้วจะต้องระมัดระวังในบางจังหวะที่เปิดคันเร่งพรวดเน้นความมันส์ เรียกว่าเล่นเอาก้นกระดกลอยจากเบาะถอยไปด้านหลังได้เลยทีเดียว นอกจากนั้นแล้วกำลังที่ให้มาตั้งแต่รอบต่ำยังสามารถที่จะลากเข้านอบสูงๆ เพื่อเรียกพละกำลังจากแรงม้าเพิ่มขึ้นได้อีก แต่สำหรับรอบเครื่องยนต์ที่สูงนั้นอาจจะไม่ได้เร้าใจเท่ากับพวกรถสไตล์สปอร์ตทั้งหลายที่มีแรงม้าระดับ 100 ตัวขึ้นไป สำหรับเครื่อง V-Twin แบบ 4 วาล์ว ของเจ้า Victory Hammer S ตัวนี้ให้แรงบิดที่สัมผัสได้มาในสไตล์ Flat Torque ลากยาวสม่ำเสมอ มันทำให้ได้อารมณ์การ Shift Down Gear แบบดิบๆ เฉกเช่นรถสปอร์ตแท้ๆ แรงดึงจาก Engine Brake ที่มีสูง อาจจะทำให้การเบรกนั้นชะลอความเร็วลง ผู้ขับขี่เองจะต้องควบคุมรถให้มั่นคง แต่มันชวยให้ผู้ที่ชื่นชอบการขับขี่ในฟิลลิ่งแบบนี้รู้สึกถึงการขับขี่ที่สนุกขึ้นในแบบ Fun to Ride การลดเกียร์ลงก่อนเทโค้ง ช่วยเพิ่มความมั่นใจได้มาก แต่เนื่องจากรถคันนี้นั้นให้ล้อหลังที่มีขนาดใหญ่โตมากไปหน่อย นั่นอาจจะทำให้ความคล่องตัวในการเข้าโค้งลดลง รวมถึงการเข้าโค้งที่กว้างๆ ผู้ขับขี่เองอาจจะต้องเทและเอนตัวลงมามากหน่อย เพื่อดึงรถลงมาเข้าโค้งมากกว่าปกตินั่นเอง
สรุปแล้วเจ้า Victory Hammer S ถือว่าเป็นรถที่ขับขี่ได้สนุก สำหรับผู้ที่ชื่นชอบอารมณ์สปอร์ต คงจะหลังรักได้ไม่ยาก แม้ล้อหลังเองจะดูกว้างและเหนื่อยๆ ไปนิดเพราะขาดความคล่องแคล่วไปเสียหน่อย แต่ก็คุ้มนะครับเมื่อแลกกับความหล่อ
สำหรับราคาค่าตัวของเจ้า Victory Hammer S สนนราคาก็ไม่เบาเลยทีเดียว อยู่ที่ 1.285 ล้านบาทเลทีเดียว
เมื่อเข้าสู่ถนนบางนา-ตราด ก็ได้มีโอกาสกลับมาขับขี่เจ้า Indian Chief Classic รถครุยเซอร์คลาสสิคระดับตำนาน สำหรับรุ่นนี้นั้นเกิดจากการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีสมัยใหม่ เข้ากับรถในตำนานของ Indian บังโคลนหน้าที่ได้ติดตั้งโลโก้หัวหน้าเผ่าอินเดียแดงอันเป็นเอกลักษณ์ แม้ว่ารถคันนี้จะมีความคลาสสิคสมชื่อของมันก็ตาม แต่มันก็มีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่ในขนาดของรถสปอร์ตหรือรถยุโรปหลายๆ รุ่นยังไม่มีมาให้เลย เทคโนโลยีที่ว่านี้ ไม่ว่าจะเป็น ระบบ Keyless เพียงแค่พก Key Fob ติดตัวไปก็จะสามารถสตาร์ทเครื่องยนต์ได้ ด้วยการกดปุ่ม Push Start นอกจากนั้น ยังมีระบบ Cruise Control ช่วยเพิ่มความสบาย และสามารถควบคุมความเร็วในการเดินทางได้อย่างแม่นยำอีกด้วย สำหรับ Indian Chief Classic คันนี้มีน้ำหนักที่ 370 กก. (wet weight)
เครื่องยนต์ เจ้า Indian Chief Classic ให้เครื่องยนต์แบบ Thunder Stroke 111 V-Twin ขนาด 111 ลบ.นิ้ว 1,811ซีซี ให้แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 102.4 ปอนด์-ฟุต ที่รอบเครื่องยนต์ต่ำ 2,600rpm ส่งกำลังผ่านเกียร์ 6 สปีด ด้วยพูลเล่ย์สายพาน การตอบสนองของคันเร่งไฟฟ้านั้น ให้อารมณ์ที่แตกต่างจาก Victory เป็นอย่างมาก เพราะการตอบสนองของตัวรถดูจะมีความสุขมากกว่า เดินคันเร่งได้อย่างสมูท ไม่มีการกระชาก ขับขี่ได้อย่างสบาย เครื่องยนต์ไม่มีอาการสั่นขึ้นมาให้รำคาญมือเมื่อเวลาที่จับแฮนด์ หากเปรียบเทียบพละกำลังของทั้ง 2 คัน จะพบว่า Torque นั้นหนักมาหนักตั้งแต่รอบต่ำทั้งคู่ แต่ Indian จะสไตล์มาก่อน หมดไวกว่าหน่อย ขณะที่ Victory ดูจะมีช่วงรอบเครื่องให้ลากเล่นได้มากกว่าอีกหน่อย
ในด้านของระบบเบรกนั้น มีการติดตั้งระบบ ABS มาให้จึงทำให้การกะระยะเบรกตั้งปรับตัวสักนิดหน่อย เพราะในช่วยแรกที่ขับขี่ Victory การตอบสนองของเบรกทำได้อย่างดีเยี่ยมแม่นยำ หยุดได้ดั่งใจสั่ง แต่กับ Indian คันนี้ อาจจะต้องเผื่อระยะการเบรก ในส่วนของแฮนด์บาร์ ที่กางออกอาจจะทำให้ดูถึงการขับขี่ที่สบายๆ เมื่อต้องขับขี่ในระยะทางไกลๆ แต่ถ้าขับขี่ในตัวเมืองหรือมีการหักเลี้ยวนั้น อาจจะต้องใช้พละกำลังในการเกร็งข้อมือมากไปหน่อย ส่วนการควบคุมรถด้านหัวรถจะดูหนักไปหน่อยเมื่อเทียบกับ Hammer S ที่ได้ขี่ไปก่อนหน้านี้
โดยภาพรวมแล้วมันทำให้ Indian Chief Classic คันนี้ ดูสุขุม ในความนิ่มนวล สบายๆ และความสมูทของเครื่องยนต์ คงจะทำให้ใครที่รักและชื่นชอบสไตล์นี้คงไม่ผิดหวัง เมื่อได้ขับขี่ในระยะทางที่ไกลๆ
สำหรับราคาค่าตัวของเจ้า Indian Chief Classic สนนราคาค่าตัวอยู่ที่ 1.475 ล้านบาท
สรุปแล้วรถทั้ง 2 แบรนด์ ทั้ง Victory และ Indian ต่างก็เป็นรถ American Cruiser ที่มีความแตกต่างกันในด้านของสไตล์การขับขี่ ย่อมจับกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกัน ผู้ที่มีความชื่นชอบอารมณ์การขับขี่แบบสปอร์ต อย่างเช่นวัยรุ่นยุคใหม่ก็คงจะชื่นชอบเจ้า Victory ได้ไม่ยากแต่สำหรับ Indian นั้นจะให้ความสมูท และความนุ่มนวลในด้านการขับขี่ที่มากกว่า ซึ่งจะช่วยให้การขับขี่ระยะทางไกลทำได้อย่างผ่อนคลายมากกว่า เหมาะสำหรับผู้ใหญ่วัยกลางๆ ที่ชอบความเท่ๆ คลาสสิค แต่ทุกสิ่งอย่างนั้น นั่นมีความเป็นพรีเมี่ยมและคุณค่าที่เจ้าของรถทั้งสองแบรนด์นี้จะได้กลับมา นั่นคือความเป็นเอกลักษณ์ที่มีความแตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ อย่างเห็นได้ชัดเจน ไม่ต้องกลัวเลยว่าถ้าคุณขับขี่ไปที่ไหนแล้วจะไม่มีใครไม่รู้จัก เพราะนักเลงมอเตอร์ไซค์ต้องมองตามอย่างแน่นอน หรืออย่างน้อยที่สุดแล้วคุณก็รู้สึกภูมิใจแล้วที่ได้ขับขี่รถในระดับตำนานนั่นเอง
ขอขอบคุณ บริษัท อินเดียน-วิคตอรี่ มอเตอร์ไซเคิล สำหรับทริปทดสอบรถจักรยานยนต์ Indian-Victory ในครั้งนี้
ขอขอบคุณ คุณภณ เพียรทนงกิจ Test Driver