Banner Yamaha Grand Filano Hybrid Connected 2024 1150x250
Banner Yamaha Grand Filano Hybrid Connected 2024 400x300

รีวิวทดสอบการขับขี่จริง Benelli Leoncino โดย GreatBiker

cv

สำหรับเจ้าสิงโตน้อย Benelli Leoncino คันนี้ถือว่าเป็นรถบิ๊กไบค์ที่อยู่ในกระแสมาตลอด ตั้งแต่ครั้งยังเปิดตัวหนแรกในสมัยยังเป็นรถคอนเซ็ปท์ มันก็เป็นที่สนอกสนใจของเพื่อนๆ มาโดยตลอด จนมาถึงครั้งที่มันเปิดตัวกันเป็นๆ แล้ว แน่นอนว่าทาง GreatBiker ย่อมที่จะไม่พลาดนำมันมารีวิวแบบทดสอบขับขีจริงตามแบบฉบับของเรา จะเป็นอย่างไรบ้างไปชมด้วยกันเลย

มารู้จักกันกับ Benelli Leoncino คันนี้กันก่อน

เจ้า Benelli Leoncino (อ่านว่า ลีออนชิโน่ เป็นภาษาอิตาลี่แปลว่า ลูกสิงโต) นั้นมีจุดกำเนิดมาตั้งแต่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยรูปลักษณ์เหมือนกับด้านล่างนี้ ด้วยขนาดเครื่องยนต์แบบ 125cc 4 จังหวะ 1 สูบ ปัจจุบันรุ่นนี้ส่วนมากจะอยู่ในพิพิธภัณฑ์แล้ว สนนราคาที่ประมูลกันพุ่งสูงมากถึง 1 ล้านบาทกันเลยทีเดียว (สำหรับรุ่นที่สภาพสมบูรณ์แบบในทุกจุด)

โดยสเปคและรายละเอียดอย่างเป็นทางการทั้งหมดของโมเดลในปัจจุบันนั้นก็คือ เครื่องยนต์ของ Benelli Leoncino นั้นมีพื้นฐานมาจากเครื่องยนต์ของ TRK 502 ที่วางจำหน่ายในบ้านเราเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยจะอยู่ที่ 499.6 cc แบบ 2 สูบ ให้แรงม้ามาที่ 47 Bhp ที่ 8,500 รอบต่อนาที และทอร์คนั้นให้มาสูงสุดที่ 45 Nm ที่ 4,500 รอบต่อนาที ตรงนี้จะเห็นได้ว่าทอร์คของรถนั้นหนักมากๆ ในย่านความเร็วแค่ในช่วงกลางๆ เท่านั้น นิสัยของรถน่าจะเป็นแบบบิดหน้าหงายแบบไม่ต้องกังวลในเรื่องรอบเลย และจำนวนกระบอกสูบนั้นเป็นแบบ 2 สูบเรียง ระบายความร้อนด้วยหม้อน้ำ แบบ 4 จังหวะ จ่ายน้ำมันด้วยระบบหัวฉีด มีกำลังอัดอยู่ที่ 11.5:1 ขนาดกระบอกสูบเท่ากับ 69.0 mm และช่วงชักเท่ากับ 66.8 mm ขับเคลื่อนด้วยระบบเกียร์ 6 สปีด ส่งกำลังสุดท้ายด้วยโซ่ ซึ่งทั้งหมดนี้ผ่านมาตรฐาน Euro 4 เรียบร้อยแล้ว

ตัวเฟรมรถจะเป็นแบบเฟรมเหล็กถัก ซึ่งจะให้บาลานซ์ในการขับขี่ที่ดี และมีน้ำหนักตัวเบา สร้างความมั่นใจในการคอนโทรลรถอย่างเต็มที่ ไฟด้านหน้ารถเป็นแบบ LED ตามสมัยนิยม แต่ดีไซน์ออกแบบมาด้วยทรงกลมผสมผสานกับตัวรถที่มีกลิ่นอายของความเป็นยุคคลาสสิกอย่างเต็มตัว ในส่วนของระบบช่วงล่างนั้น เบรกหน้าเป็นแบบดิสก์คู่ขนาด 320mm และเบรกหลังเท่ากับ 260mm แบบดิสก์เดี่ยว ทำงานร่วมกับระบบ ABS โช๊คอัพนั้นด้านหน้าเป็นแบบเทเลสโคปิกหัวกลับ หรือว่าแบบ Upside Down ที่ซับแรงสะเทือนได้ดีกว่าปกติ และด้านหลังเป็นโมโนโช๊ค ส่วนยางหน้ามีขนาดเท่ากับ 110/80 R19 และยางหลังเท่ากับ 150/70 R17  ส่วนล้อหน้าใช้ขนาด 19 นิ้ว หลัง 17 นิ้ว มิติของตัวรถนั้นยาว 2100mm กว้าง 800mm และสูง 1160mm ความสูงเบาะเท่ากับ 815mm ในขณะที่น้ำหนักตัวรถอยู่ที่ 170 กก. และถังน้ำมันจุอยู่ที่ 12.7 ลิตร เรียกได้ว่าเดินทางออกทริปกันได้สบายๆ กับความจุนี้

ความรู้สึกในการขับขี่กันจริงๆ

ฟีลลิ่งแรกที่ประทับใจในตัวรถคันนี้นั่นก็คือท่านั่งในการขับขี่ เพราะว่าตัวรถมันมาในรูปแบบของเนกเกตที่มีกลิ่นอายความเป็น scrambler อยู่อย่างเต็มตัวทำให้ท่านั่งในการขับขี่นั้นหลังจะค่อนข้างยืดตรง และแฮนด์บาร์ด้านหน้านั้นจะยกสูงขึ้นมา (ซึ่งจะแตกต่างจากรถในแนวสปอร์ตเนกเกตที่ค่อนข้างจะก้มต่ำว่านี้เยอะ) ทำให้เวลาวิ่งกันไกลๆ แล้วไม่ได้รู้สึกเมื่อยล้าแต่อย่างใด และมองเห็นวิสัยทัศน์ได้กว้างไกลเกือบๆ เท่ากับรถในแนวทัวร์ริ่ง และตัวรถนั้นมีน้ำหนักที่ค่อนข้างจะเบา ทำให้การคอนโทรลรถในย่านความเร็วต่ำนั้นทำได้ดีมาก สามารถซอกแซกการจราจรที่ติดขัดได้เป็นอย่างดี ในเรื่องของวัสดุและงานประกอบเจ้าบิ๊กไบค์คันนี้นั้นถือว่าทำได้เยี่ยม อันนี้ไม่ได้พูดเกินจริงแต่อย่างใด

ในเรื่องของอัตราเร่งตัวรถนั้นถือว่าบิดติดมือเอามากๆ กับรถในคลาสนี้แต่มันค่อนข้างที่จะกระชากเอาเหมือนกัน การไต่ความเร็วตั้งแต่ในย่าน 0 – 100 นั้นทำได้ไวสุดๆ เมื่อเทียบกับขนาด cc ของตัวรถ และเสียงของตัวรถและเครื่องยนต์นั้นหนักแน่นดุดัน ให้ความรู้สึกฮึกเหิมเป็นอย่างดี และด้วยสไตล์ของตัวรถที่มันถือว่า “ลุย” ได้ในระดับหนึ่ง (กับยางเดิมๆ แบบนี้) ประกอบกับระบบช่วงล่างแบบโช้กอัพหน้าหัวกลับ ที่มันให้ความรู้สึกในการซับแรงสะเทือนได้แตกต่างจากโช้กอัพธรรมดาจริงๆ ทำให้การวิ่งบนถนนที่ขรุขระหรือเข้าโค้งหนักๆ นั้นทำได้อย่างมั่นใจเต็มที่ ส่วนความเร็วปลายที่ทดสอบได้นั้นอยู่ที่ราวๆ 170 กม./ชม. + – ขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวของผู้ขับขี่และสภาพแวดล้อมอีกที จุดสังเกตของตัวรถนั้นหากผู้ขับขี่ที่ไม่เคยขี่รถแนวนี้มาก่อนอาจจะต้องใช้เวลาปรับตัวกันสักพักหนึ่ง เพราะอย่างที่เกริ่นไปว่าท่านั่งของตัวรถนั้นค่อนข้างจะแตกต่างจากแนวเนกเกตทั่วไปอยู่พอสมควร และจุดศูนย์ถ่วงที่ค่อนข้างจะอยู่ในแนวดิ่งตรงกลาง ก็ทำให้การถ่ายเทน้ำหนักหรือว่าท่านั่งในโค้งนั้นต้องฝึกให้เคยชินกันสักนิด

บทสรุปของ Benelli Leoncino

ก็ถือว่าสมกับการรอคอยอันยาวนานสำหรับบิ๊กไบค์คันนี้ ทำออกมาได้ตามที่คาดหวัง เมื่อเราเทียบกับราคาค่าตัวของมันกันนั้นก็ถือว่าสมเหตุสมผลและคุ้มค่าในตัว ภาพรวมมันเป็นรถที่มีกลิ่นอายความเป็นยุโรปอยู่อย่างเต็มตัว และค่อนข้างจะแตกต่างจากรถรุ่นอื่นในค่ายเดียวกัน มันจึงเหมาะสมสำหรับผู้ที่ชื่นชอบในแนวทางที่แตกต่าง แต่ก็จัดว่าเป็นรถที่สามารถใช้ในชีวิตประจำวันได้ทุกๆ วันไม่ว่าจะขี่ไปเรียนไปทำงานหรือขี่ไปท่องเที่ยวออกทริปกันในหยุดสุดสัปดาห์ ใครที่อยากจะดูงานประกอบและวัสดุรวมถึงรถตัวเป็นๆ ก็สามารถไปดูกันได้ที่โชว์รูมของ Benelli ใกล้บ้านท่าน โดยมีราคาอยู่ที่ 209,000 บาท

ขอขอบคุณ Benelli Thailand และ Benelli ซันฟงเจริญมอเตอร์ เชียงใหม่ สำหรับรถในการรีวิวครั้งนี้