รีวิว Ducati Monster 821 (First Ride)
แน่นอนว่าตระกูล Monster จากค่ายยักษ์ใหญ่แห่งแดนมะกะโรนีอย่าง Ducati นั้นถือว่าเป็นรถแนว sport-naked ตระกูลใหญ่ที่ถูกซอยย่อยออกมาเป็นหลายรุ่น โดยมีตัวเลขดิจิ 3 หลักกำกับเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งส่วนมากก็อ้างอิงกันกับขนาดของความจุเครื่องยนต์นั่นเอง โดยมีถิ่นกำเนิดอยู่ที่เมืองโบโลญญ่า ประเทศอิตาลี่ และด้วยดีไซน์ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ชนิดที่ว่าใครมองก็ต้องรู้ว่ามันคือ Ducati โดยก่อนหน้านี้ทั้งรุ่น 795 และ 796 ก็ได้ออกมาวาดลวดลายกันในท้องถนนบ้านเราอย่างหนาตา ด้วยราคาที่ถือว่าจับต้องได้เพราะว่าประกอบกันที่โรงงานบ้านเรานี่เอง จนมาถึงตอนนี้กับตัวล่าสุดในตระกูล Monster อย่าง Monster 821 ที่เรียกได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงใหม่ไปจากตัวเดิมอย่าง 796 แบบยกชุดทั้งเครื่องยนต์และโครงสร้าง
ซึ่งทางเว็บไซต์ GreatBiker.com ได้รับเชิญจากทางค่าย Ducati Thailand ให้ไปทำการทดสอบเจ้า Monster 821 กันแบบเต็มๆ ถึงจังหวัดเชียงใหม่ในงาน “Monster 821 Asia Premiere” ร่วมกับทางสื่อชั้นนำในเมืองไทยอีกหลายสำนัก และแน่นอนว่าหลังจากที่ทางเราทำการทดสอบเป็นระยะทางมากกว่า 230 กม. ในสภาพการใช้งานที่แตกต่างกันไปนั้น ก็ถึงเวลาที่ทางเราจะนำผลการทดสอบในทุกแง่มุมมาฝากเพื่อนๆ กันเพื่อประกอบการตัดสินใจ หากว่าใครกำลังเล็งๆ เจ้าปีศาจตัวนี้ไว้อยู่
The “Premium” Naked
นี่เป็นคำจำกัดความสั้นๆ ที่ทางค่ายดูคาติมอบให้กับเจ้ารถคันนี้ นั่นก็คือรถเนกเกตแบบพรีเมี่ยม ที่เต็มไปด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัวแบบอิตาเลี่ยนสไตล์ ทรงประสิทธิภาพและขับขี่สนุก เหมาะสมตั้งแต่ผู้ขับขี่มือใหม่ไปจนถึงนักบิดที่มากประสบการณ์ ซึ่งภาพลักษณ์ของเจ้า 821 นี้ทางเราจะเห็นได้ชัดว่าค่ายดูคาตินั้นวางตำแหน่งของสินค้าในการนำเสนอและโฆษณาตามสื่อต่างๆ ให้มันดูมีความเป็นพรีเมี่ยมมากขึ้นกว่ารุ่นก่อนๆ แบบชัดเจน
ขนาดของเครื่องยนต์ที่ใหญ่โตมากขึ้นกว่าเดิม
หลังจากที่ในครั้งก่อนกับเจ้า Monster 796 ที่มีเครื่องยนต์ขนาด 803 cc มาคราวนี้ด้วยรหัส 821 ก็แน่นอนว่าได้ทำการขยายความจุของเครื่องยนต์ให้มากขึ้นเป็น 821.1 cc ซึ่งตัว 796 เดิมนั้นก็ถือว่าแรงบิดนั้นดีอยู่แล้ว พอมาเพิ่มขนาดเครื่องยนต์ให้มากขึ้นก็ยิ่งทำให้การตอบสนองต่อข้อมือของเราในการบิดแต่ละทีนั้นติดมือมากขึ้นอีก รวมไปถึงทอร์คที่เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมด้วย ดังนั้นแล้วสำหรับนักบิดที่ชอบรถที่ต้นจัดๆ น่าจะพึงพอใจกับรถคันนี้เอามากๆ อีกทั้งสูบ L-twin ที่เป็นเอกลักษณ์ของทางค่ายนั้นก็ทำหน้าที่ของมันได้เป็นอย่างดี ในเรื่องของพละกำลังนั้นถือว่าสอบผ่านสบายๆ
รูปร่างหน้าตาที่เปลี่ยนไป
ในเรื่องของการดีไซน์นั้น แน่นอนว่ามันถูกอ้างอิงมาจากตัวรุ่นพี่ที่เพิ่งจะปรับโฉมไปอย่าง Monster 1200 โดยที่เจ้า 821 นี้ได้รับการถ่ายทอด DNA มาในหลายส่วนเลยทีเดียว ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็จะเป็นท่อรถที่เปลี่ยนจากท่อคู่ออกท้ายของรุ่นเดิมมาเป็นท่อคู่ออกด้านข้างฝั่งเดียวแทน และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือจากเดิมตัว 796 ที่โดดเด่นด้วยสวิงอาร์มหลังแบบเดี่ยว (หรือที่นิยมเรียกกันว่าโปร์อาร์ม) แต่ 821 นั้นมาใช้สวิงอาร์มคู่เอา ซึ่งตรงนี้บางกระแสก็เสียดายไม่น้อยเหมือนกันที่ความเท่แบบโปร์อาร์มในรุ่นเก่านั้นหายไป แต่อีกกระแสก็รับกับตรงนี้ได้เพราะถือว่าอาร์มคู่นั้นดูจะมีสมดุลย์กว่าเดิม และในส่วนของเฟรมถักสีแดงนั้นก็สั้นลงกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด ตรงนี้ก็คงแล้วแต่ความชอบในรสนิยมของแต่ละคนว่าชอบแบบไหนมากกว่ากัน โดยตัวรถนั้นมีน้ำหนักค่อนข้างเบา จะอยู่ที่ 179.5 กก. เท่านั้น
โหมดในการขับขี่
ถือว่าเป็นไฮไลท์ของรุ่นนี้เลยทีเดียว เพราะว่ามีการเซ็ทโหมดมาให้ถึง 3 โหมด ที่เรียกว่าสามารถใช้งานได้ครอบคลุมความต้องการทุกรูปแบบเลยก็คือ
1. Urban – โหมดนี้เป็นโหมดที่เน้นมาให้ใช้งานในเมืองเป็นหลัก เหมาะกับการขับขี่ที่ไม่ต้องการความเร็วสูงมากนัก เพราะว่าโหมดนี้จะจำกัดแรงม้ามาแค่ 75 ตัว แต่ก็ทำให้เราใช้น้ำมันได้อย่างประหยัดมากขึ้น เมื่อทดลองขี่ในโหมดนี้ดูจะพบว่ามันค่อนข้างที่จะมีความนุ่มนวลมากๆ เลยทีเดียวเมื่อเทียบกับอีกสองโหมดที่เหลือ โดยการทำงานของเบรก ABS นั้นจะทำงานถึง level 3 ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ABS มันจะเริ่มต้นทำงานเร็วกว่าในโหมดอื่นอย่างเห็นได้ชัด เรียกได้ว่าค่อนข้างจะเซฟตี้สุดๆ รวมไปถึง DTC (Ducati Traction Control หรือระบบป้องกันล้อหน้าและหลังลื่นและเสียการทรงตัว) ที่ทำงานใน level 6 ซึ่งจะมาไวมากๆ เช่นกัน
2. Touring – จะเรียกโหมดนี้ว่าเป็นโหมดสแตนดาร์ดก็คงจะไม่ผิดนัก เพราะเหมือนกับเซ็ทมาให้ใช้งานได้ครอบคลุมแบบกว้างๆ เลย ตั้งแต่ใช้งานในเมืองไปจนถึงวิ่งออกทริปยาวๆ โดยมันจะปล่อยแรงม้าออกมาเต็มที่ที่ 112 ตัว ABS จะทำงานใน level 2 ซึ่งจะเห็นได้ว่าต่างกับโหมด Urban อย่างชัดเจน โดย ABS จะตอบสนองช้ากว่า เปิดโอกาสให้เราเล่นกับตรงน้ได้มากขึ้น ในส่วนของ DTC นั้นจะทำงานใน level 4 ความรู้สึกจากการทดลองขับขี่ในโหมดนี้ก็ถือว่าอัตราการเร่งนั้นจะดีกว่าโหมดแรกอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็สามารถควบคุมอยู่ได้ไม่ยากเกินไปนัก เหมาะกับการขี่เดินทางชิลๆ เพราะว่า ABS กับ DTC นั้นทำงานในระดับที่เป็นธรรมชาติมากที่สุดนั่นเอง
3. Sport – แน่นอนว่าโหมดนี้ก็ตรงตามชื่อเลย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปลดปล่อยพลังของเจ้าปีศาจตัวนี้ให้ออกมาอย่างเต็มที่มากที่สุด แรงม้านั้นแม้ว่าจะเท่ากับในโหมด Touring mี่ 112 ตัว แต่ว่า ABS นั้นถูกเซ็ทไว้ที่ level 1 นั่นก็คือมันจะตอบสนองช้ามากที่สุด และในส่วนของ DTC นั้นก็ถูกเซ็ทไว้ที่ level 2 เท่านั้น แต่ที่สำคัญก็คืออัตราเร่งของคันเร่งไฟฟ้านั้นจะตอบสนองต่อข้อมือเราได้มากที่สุดในโหมดนี้ นั่นก็คือแค่ขยับข้อมือขวาเพียงนิดเดียวเจ้าปีศาจตัวนี้ก็พร้อมที่จะพุ่งทะยานไปข้างหน้าจนบางครั้งเราถึงกับตกใจ ถือว่าเป็นโหมดที่ควบคุมได้ยากสำหรับมือใหม่ แต่ก็สนุกเร้าใจ และเรียกอะดรีนาลีนให้สูบฉีดได้มากที่สุด
โดยเส้นทางที่เราทำการทดสอบนั้นเมื่อผ่านพ้นจากตัวเมืองที่รถติดๆ นั้นก็จะมีทางตรงยาวๆ ให้ได้ซัดกัน เมื่อลองปรับมาเป็นโหมด sport ในช่วงนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นการปลดปล่อยขุมกำลังความเร็วของเจ้า 821 ได้อย่างเต็มที่โดยที่เราแทบจะไม่ต้องเค้นหรือว่ากังวลเรื่องของรอบเท่าไหร่เลย (นี่เป็นข้อดีอีกอย่างหนึ่งของรถสองสูบแบบ l-twin) แต่พอมาถึงในช่วงเส้นทางที่เป็นภูเขาที่มีโค้งคดเคี้ยวตลอดเส้นทางก็พบว่าโหมด sport นี้ไม่ค่อยจะเหมาะสมเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะเวลาลงจากเนินเป็นระยะทางยาวๆ แล้วต้องเจอกับโค้งที่หักไปอีกทางนั้น ความแรงที่มาแบบไม่ยั้งบางครั้งก็กลัวว่าจะเอาไม่อยู่เหมือนกัน ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงกับการใช้งานโหมด Urban บนทางเขาซึ่งเราพบว่ามันเหมาะสมกว่าที่คิดไว้มาก จากที่คิดว่ามันเหมาะสมกับการใช้งานในเมืองเป็นหลักเท่านั้น แต่เมื่อนำมามาใช้กับเส้นทางบนเขาลักษณะอย่างที่ว่ามา ก็พบว่ามันทำงานได้อย่างนุ่มนวลและปล่อยแรงม้าได้เหมาะสมกับการใช้งานมากๆ หรือจะใช้โหมดทัวร์ริ่งลากยาวตั้งแต่ในเมืองไปจนถึงทางยาวและโค้งบนเข้าที่สลับซับซ้อนก็คงไม่ผิดนัก
โดยในการปรับเปลี่ยนโหมดทั้งสามนี้ถูกออกแบบมาดีและง่ายมากๆ โดยเราแค่กดที่ปุ่มปิดไฟเลี้ยวค้างไว้ บนหน้าจอก็จะมีสามโหมดนี้ขึ้นมาให้เราเลือกโดยแค่กดที่ปุ่มเดิมทีละครั้งเพื่อสลับโหมด แล้วก็กดแช่ไว้อีกครั้งเพื่อเป็นการตกลงเลือกโหมดนั้นๆ เรียกได้ว่าใช้แค่นิ้วเดียวในการเปลี่ยนโหมด
ฟีลลิ่งในการขับขี่
ความรู้สึกแรกเลยที่ได้ขึ้นคร่อมมันนั้นจะพบได้ว่าเบาะค่อนข้างเตี้ย (ผู้ทดสอบสูง 180 cm) ปรากฏว่าเบาะมันถูกปรับมาให้อยู่ในตำแหน่งที่เตี้ยสุดไว้ก่อน นั่นก็หมายความว่าตรงนี้จะไม่เป็นปัญหาเท่าไหร่แน่ๆ กับผู้ที่กังวลในเรื่องของความสูงว่าจะขี่ได้หรือเปล่า ถัดมาในเรื่องของแฮนด์นั้นมันได้ถูกยกสูงขึ้นกว่ารุ่นเดิม 40 mm และขยับเข้ามาใกล้กับตัวของผู้ขับขี่มากขึ้นอีก 40 mm ทำให้เวลาขี่ไม่ต้องเหยียดแขนและก้มให้มากนัก จึงถือว่าเป็นท่านั่งที่ค่อนข้างสบายและลงตัวมากๆ สมกับเป็นรถเนกเกต ตรงนี้ถือว่าช่วยได้เยอะมากในเวลาที่เราวิ่งกันไกลๆ จะไม่ค่อยเมื่อยหรือปวดข้อมือ อีกทั้งยังให้ระบบความปลอดภัยอย่าง Slipper Clutch มาอีกด้วย และที่ค่อนข้างชอบใจอีกอย่างก็คือเรื่องของความสมูทเวลาเราเดินเบารอบต่ำๆ ซึ่งรุ่นก่อนๆ จะค่อนข้างสั่น แต่มาตัวนี้นั้นนิ่มนวลขึ้นเยอะ
เมื่อทั้งเบาะนั่งสามารถปรับได้ดั่งใจรวมไปถึงการเซ็ทตำแหน่งแฮนด์ที่ออกแบบมาได้ลงตัวมากขึ้นนั้นก็ทำให้การขับขี่จริงๆ เวลาเลี้ยวในโค้งแคบๆ ก็สามารถเลี้ยวได้อย่างมั่นใจมากขึ้น รวมไปถึงการเข้าโค้งที่ทำได้อย่างสบายๆ เพราะการจัดระเบียบของร่างกายนั้นอยู่ในตำแหน่งที่ดีมาตั้งแต่แรกแล้ว อีกทั้งตัวรถมีน้ำหนักค่อนข้างจะเบา ทำให้เราแค่เอี้ยวตัวนิดเดียวรถก็โค้งไปได้อย่างใจคิด อีกทั้งคันเร่งก็ตอบสนองได้ดี บิดนิดเดียวก็พุ่ง (ในโหมด Sport หรือ Touring) หรือผ่อนนิดนึง engine brake ก็เริ่มทำงาน ส่วนการขับขี่ในเมืองนั้นก็ถือว่าซิกแซกซอกแซกได้เป็นอย่างดี เพราะแฮนด์นั้นค่อนข้างแคบเราหักแค่นิดเดียวก็สามารถมุดเข้าช่องหรือเปลี่ยนเลนได้ง่ายๆ ตรงนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับทีมออกแบบที่หาจุดลงตัวของรถคันนี้ได้ดีที่สุดรุ่นหนึ่งตั้งแต่มีเจ้าตระกูล Monster ถือกำเนิดออกมาเลยทีเดียว
มีหม้อน้ำแล้ว
ถือว่าเป็นอีกข้อหนึ่งที่หลายๆ คนชอบมากๆ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ในุร่นเก่านั้นจะระบายความร้อนด้วยลม และจะมีปัญหาเรื่องของความร้อนยามที่รถติดๆ โดยเฉพาะเวลาจอดสี่แยกไฟแดงจะยิ่งร้อนระอุมากขึ้น จนหลายๆ คนที่ใช้งานมันก็ชินและปลงตกไปแล้ว จนคิดซะว่ามันเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของรถ แต่เมื่อมาในรุ่น 821 นั้นก็ได้เลือกใช้หม้อน้ำในการระบายความร้อนผสมกับระบายความร้อนแบบอากาศ จากการทดสอบก็ถือว่ามันทำหน้าที่ของมันได้ดีขึ้นกว่าเดิม แต่ว่าหากวิ่งกันในเมืองแบบรถติดๆ แล้วล่ะก็มันยังคงรู้สึกร้อนที่ขาอยู่ดี โดยเฉพาะฝั่งที่ท่อวางพาดออกมา ส่วนหนึ่งก็เป็นความร้อนที่มาจากลำท่อตรงนั้นนั่นเอง รวมไปถึงทิศทางของลมที่ระบายออกมาจากเครื่องนั้นจะพัดเข้ามาที่บริเวณขาของเรา แต่ภาพรวมของการมีหม้อน้ำแล้ว สำหรับการระบายความร้อนก็ถือว่าดีกว่าเดิม
โดยสรุป
มันคือรถแนวเนกเกตที่ถือว่ามีขนาดของเครื่องยนต์ที่เหมาะสมกับการใช้งานจริงๆ ไม่มากไม่น้อยเกินไป อีกทั้งยังสามารถเซ็ทได้ถึง 3 โหมดในการขับขี่ เรียกได้ว่าแม้แต่กับมือใหม่ก็สามารถสนุกกับมันได้ไม่ยาก มองแล้วตรงนี้ทางดูคาติต้องการให้มันตีตลาดในวงที่กว้างขึ้นมากกว่าเดิมอย่างแน่นอน โดยเฉพาะกลับกลุ่มเป้าหมายที่อาจจะยังไม่เคยสัมผัสกับรถของดูคาติมาก่อนก็น่าจะหันมามองกันมากขึ้น เพราะมันเป็นมิตรต่อผู้ขับขี่มากๆ อีกทั้งการเพิ่มความจุของถังน้ำมันมาให้มากขึ้นกว่าเดิม นั่นก็เท่ากับว่าสามารถวิ่งออกทริปได้ไกลมากขึ้น โดยอัตราการวิ่งโดยเฉลี่ย (เอาแบบจากการใช้งานจริงๆ เลยทั้งขี่ในเมืองความเร็วไม่เกิน 100 และบิดอัดๆ กันแบบไม่ยั้ง) น่าจะอยู่ที่ราวๆ 15 – 18 กม./ลิตร ก็ถือว่าโอเคสำหรับรถ cc ขนาดนี้
ที่สำคัญมันเป็นโกบอลโมเดลที่ประกอบกันในไทย ทำให้ราคานั้นถือว่านักบิดบ้านเราสามารถจับต้องได้ง่ายมากขึ้น จากที่ก่อนหน้านี้ตัวนำเข้านั้นมีราคาสูงถึง 779,000 บาท แต่ในตอนนี้นั้นขายกันอยู่ที่ 469,900 บาทเท่านั้น สำหรับสีดำ (โดยสีแดงจะแพงกว่าไปอีก 1 หมื่น) ซึ่งตอนนี้ก็เปิดให้จับจองกันไปตั้งแต่งาน Bangkok Motor Show ที่ผ่านมากันแล้ว ซึ่งกับนับว่าเป็นรุ่นที่ถูกจับจองกันไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะส่งมอบรถล็อคแรกสำหรับสีแดงในช่วงเดือน มิถุนายนนี้ ส่วนสีดำถัดไปในเดือนกรกฎาคม
ซึ่งทาง GreatBiker.com ขอบอกว่าเจ้า Ducati Monster 821 นั้นเป็นรถแนวเนกเกตที่น่าจะหามาเป็นเจ้าของกันมากที่สุดคันหนึ่งประจำปี 2015 นี้เลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ชื่นชอบตระกูล Monster เป็นทุนอยู่แล้ว หลายๆ อย่างมันดีกว่าที่เราคิดไว้ตอนแรกเสียอีก หรือใครที่ยังไม่มั่นใจก็สามารถลองหาโอกาสไปสัมผัสและทดลองขับขี่มันด้วยตัวคุณเองได้
*หมายเหตุ สำหรับ Monster 821 นั้นมีแคมเปญพิเศษคือ Ducati Worry Fee Program ฟรีค่าบำรุงรักษา 2 ปี หรือ 25,000 กม.
สเปกโดยละเอียด
เครื่องยนต์
๏ Power: 112 hp @ 9,250 rpm (75hp Urban)
๏ Torque: 9.1 kgm @ 7,750 rpm
๏ Displacement: 821.1cc
๏ Bore: 88mm
๏ Stroke: 67.5mm
๏ Ratio bore/stroke: 1.3:1
๏ Compression ratio: 12.8:1
๏ Valve clearance check: 30,000 km
๏ Shell Advance oil change: 15,000 km
Steel trellis frame attached to cylinder heads
๏ + 99% torsional stiffness
๏ + 67% flex-torsional stiffness
๏ – 1.23 kg (-2.71 lb)
Steel trellis subframe attached to cylinder heads
๏ -1.1 kg (-2.43 lb)
Brembo-Bosch ABS Braking system
๏ 2 x 320 mm front discs
๏ M4.32 Monobloc front brake calliper
๏ Axial front brake master cylinder with adjustable lever
๏ ABS 9MP processor
Wheels & Tyres
10-spoke light alloy, same design as Panigale and Multistrada
๏ Front: 3.5” x 17”
๏ Rear: 5.50” x 17”
๏ Front: 120/70 Pirelli Diablo Rosso II
๏ Rear: 180/60 Pirelli Diablo Rosso II
Front forks
๏ Φ 43 mm front forks
๏ Cast top & bottom triple clamps
๏ Rubber mounted handlebar risers
๏ Rear view mirrors with aluminium stems
Specifications
๏ Wheelbase: 1,480 mm (58.26”)
๏ Rake: 24.3°
๏ Trail: 93.2 mm (3.67”)
๏ Offset: 36 mm (1.42”)
๏ Lean angles: up to 48°
๏ Steering lock: 60° total
๏ Dry weight: 179.5 kg
๏ Wet weight: 205.5 kg
Adjustable seat height:
๏ 785mm – 810mm with standard seat
ถังน้ำมันจุ 17.5 ลิตร
ขอขอบคุณ Ducati Thailand สำหรับรถและอำนวยความสะดวกทั้งหมดสำหรับการทดสอบครั้งนี้
Sakon Supapornopas – Website founder greatbiker.com I like all types of motorcycles. Working in the automotive industry for more than 10 years, in-depth analysis of new motorcycle models. that will be launched in Thailand and abroad Review from actual use experience