Banner Yamaha FINN SP 2024 1150x250
Banner Yamaha FINN SP 2024 400x300

10 นวัตกรรมเปลี่ยนโลกโดย Harley-Davidson

ขึ้นชื่อว่า Harley-Davidson แล้ว แบรนด์ผู้ผลิตรถมอเตอร์ไซค์สัญชาติอเมริกันที่มีอายุใกล้ครบ 120 ปี ก็ต้องมีอะไรที่เป็นแนวคิดก้าวหน้าบนโลกมอเตอร์ไซค์กันบ้าง ซึ่งมันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับแบรนด์ผู้ผลิตเจ้าอื่นๆ ที่ทางค่ายเองพยายามพลักดันนวัตกรรมเกี่ยวกับรถมอเตอร์ไซค์ใหม่ๆให้โลกได้รู้จักตลอดเวลา และในบทความนี้เราจะขอพาเพื่อนๆไปทำความรู้จักกับ 10 นวัตกรรมจาก Harley-Davidson ที่เปลี่ยนโลกไปตลอดกาล

1

1919 Model W Sport Twin

ย้อนกลับไปในช่วงตั้งไข่ของแบรนด์ ทาง Harley-Davidson พยายามอย่างหนักในการสร้างรถมอเตอร์ไซค์ขนาดใหญ่เพื่อการใช้งานที่เน้นระยะทางไกลเป็นหลัก แต่ในปี 1919 ทางแบรนด์ได้ออกโมเดลใหม่ในรูปแบบของรถแข่ง Flat Track กับเจ้า 1919 Model W Sport Twin ด้วยขุมกำลังขนาด 584 ซีซี โดยมีจุดเด่นที่เครื่องยนต์แบบวางก้านสูบนอน คล้ายๆ กับเครื่องยนต์ Boxer จาก BMW แต่จะวางสวนทางกัน โดยก้านหนึ่งจะกระทุ้งไปด้านหน้า ส่วนอีกก้างจะกระทุ้งไปด้านหลัง โดยสามารถสร้างสมดุลของการทำงานของเครื่องยนต์ได้เป็นอย่างดี แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เจ้า 1919 Model W Sport Twin ค่อยๆ จางไปจากตลาดพร้อมกับเครื่องยนต์รูปแบบนี้ ก็คือการมาถึงของ Indian Scout ในปี 1920 ที่มีประสิทธิภาพจากเครื่องยนต์ V-Twin ในการสร้างแรงบิดช่วยออกตัวได้ดีกว่า และประเด็นสำคัญคือการทำราคาที่ถูกกว่า จนทำให้เจ้า W Sport Twin ยุติการผลิตในปี 1923 ในที่สุด

2

1936 EL Knucklehead

หลายๆ คนที่เก๋าหน่อยน่าจะจำเหตุการณ์เศรษฐกิจโลก The Great Depression ที่เกิดขึ้นในปี 1929 – 1939 ได้ จากสภาวะเศรษฐกิจโลกตกต่ำในเวลานั้นทำให้ยอดการจำหน่ายรถมอเตอรอไซค์ของค่ายค่อยๆ ลดลง จากปี 1929 ที่จำหน่ายได้ 24,000 คัน ลดลงเหลือเพียง 3,700 คันในปี 1933 นับว่าเป็นช่วงเวลาที่ย่ำแย่ที่สุดเวลาหนึ่งในประวัติศาสตร์ของแบรนด์ Harley-Davidson เลยก็ว่าได้ แต่ในวิกฤตก็ยังมีโอกาสแอบซ่อนตัวอยู่ บริษัทได้ทุ่มงบในการพัฒนาเครื่องยนต์ใหม่ V-Twin 45 องศา แบบ overhead-valve เป็นครั้งแรก ด้วยพิกัดเครื่องยนต์ 986 ซีซี พร้อมฝาปิดวาล์วที่ชวนให้นึกถึงหมัดที่กำแน่น วาล์วทำงานผ่านแท่งดันที่ขับเคลื่อนด้วยเพลาลูกเบี้ยวเดี่ยวหลายแฉกและระบบหล่อลื่นหมุนเวียน โดยที่เครื่องยนต์ที่ความสามารถ 40 แรงม้า (HP) ซึ่งเจ้าเครื่องยนต์ชุดนี้ก็กลายเป็นพื้นฐานใหม่ของเครื่องยนต์จากแบรนด์ในปี 85 ปีข้างหน้า และนำพาแบรนด์ให้ผ่านพ้นวิกฤตด้วยยอดจำหน่าย 20,000 คันต่อปีอีกครั้งในปี 1947 และเกินครึ่งในยอดจำหน่ายนั้นก็เป็นโมเดล EL Knucklehead นั่นเอง

3

1957 Sportster XL

ในช่วงทศวรรษที่ 50 นั้น การเข้ามาทำตลาดของรถมอเตอร์ไซค์จากยุโรป เมื่อ Triumph, Norton และ BSA เริ่มนำเอามอเตอร์ไซค์ของตนเองเข้าสู่ตลาดอเมริกา ด้วยรูปแบบของรถที่เน้นการขับขี่ที่มอบความเป็นสปอร์ตคล่องตัว และน้ำหนักที่ไม่มากมายนัก ทำให้เจ้าถิ่นอย่าง H-D ต้องออกโมเดลแก้ลำอย่างเจ้า 1957 Sportster XL รถมอเตอร์ไซค์ในแนวทางที่สปอร์ตที่สุดของค่ายในช่วงเวลานั้น แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่าโมเดลนี้จะได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง และทวีความต้องการเป็นอย่างมากในปี 1970 ที่ต่อให้ผลิตเท่าไหร่ก็สามารถขายได้หมดแบบไม่เหลือค้างสต็อก และมันก็ส่งผลมาจนถึงปัจจุบันกับการมีอยู่ของโมเดล Sportster ที่ยังคงเป็นที่นิยมและต้องการเป็นอันดับต้นๆ ของกลุ่มผลิตภัณฑ์จากแบรนด์ H-D

4

1971 FX Super Glide

จัดว่าเป็น Real Custom Bike คันแรกของค่าย H-D ก็ว่าได้ ด้วยคุณสมบัติพิเศษของการปรับเปลี่ยนพาร์ทอะไหล่จากของโรงงานและสำนัก Custom ที่มีอยู่ทั่วสหรัฐ ทำให้โมเดล 1971 FX Super Glide มีความแตกต่างออกไปจากรถมอเตอร์ไซค์ที่ในช่วงเวลานั้นเน้นการทำตลาดที่พละกำลังเป็นหลัก แต่ทาง H-D กลับมอบความสุขให้กับผู้บริโภคด้วยการปรับแต่ง Custom ที่หลากหลาย และมันก็ได้รับความนิยม เป็นอย่างมาก ในช่วงเวลานั้น FX Super Glide ออกวิ่งกันเต็มท้องถนน แต่ไม่มีคันไหนเลยที่จะมีการตกแต่งที่เหมือนกัน เพราะมันสามารถ Custom ได้มากกว่า 10,000 รูปแบบเลยทีเดียว

5

1978 MX250

รู้หรือไม่ Harley-Davidson เคยสร้าง dirt bike มาก่อน เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปในช่วง ทศวรรษที่ 70 หลังจาก Harley-Davidson ได้ทำการซื้อกิจการ Aermacchi บริษัทผลิตรถวิบากจากอิตาลี และนำเอานวัตกรรมของทางบริษัทมาสร้างเป็น 1978 MX250 โดยเป็นรุ่นนำร่องผลิตเพียง 900 คัน แต่มันไม่ประสบความสำเร็จเอาเสียเลย เพราะในช่วงเวลานั้น การตลาดของ Harley-Davidson เน้นไปที่ road bike ซึ่งเป็นภาพจำให้กับผู้บริโภคจนไม่สามารถลบล้างได้ และมันก็ไม่สามารถสร้างภาพจำใหม่ๆได้และไม่ได้ไปต่อในที่สุด โดยในต่อมา Harley-Davidson ก็ตัดสินใจขายกิจการ Aermacchi ให้กับพี่น้อง Castiglioni ซึ่งในที่สุดก็กลายเป็นแบรนด์ Cagiva ที่เรารู้จักกันนั่นเอง

6

1981 Project Nova

โปรเจคการพัฒนาร่วมระหว่าง Harley-Davidson และ Porsche ในการสร้างเครื่องยนต์ DOHC V-4 135 แรงม้า โดยทาง Porsche นั้นเป็นผู้สร้างเครื่องยนต์ขึ้นมา และทาง Harley-Davidson ได้นำมันไปติดตั้งบนรถมอเตอร์ไซค์ ซึ่งเจ้า Project Nova นั้นเป็นเพียงโปรเจคพัฒนา โดยใช้รถต้นแบบกว่า 20 คัน ผ่านการทดสอบกว่า 100,000 กิโลเมตร ทั้งบนทางสาธารณะและอุโมงค์ลมอย่างยาวนาน แต่ในที่สุด H-D ก็ตัดสินใจยุติการพัฒนาเจ้า V-4 บล็อกนี้ แต่หันไปให้ความสำคัญกับการพัฒนา Evolution V-Twin 90 องศาแทน

7

1984 FXST Softail

หลังจากปิดโปรเจคการพัฒนา Project Nova และหันไปพัฒนาเครื่องยนต์ Evolution V-Twin แทนในที่สุดการมาถึงของ 1984 FXST Softail ก็เป็นคำตอบที่ดูเหมือนจะตอบโจทย์มากกว่า ด้วยการติดตั้งเครื่องยนต์แบบใหม่ทั้งหมด รวมไปถึงการใช้งานระบบกันสะเทือนหลังชุดเกียร์เป็นครั้งแรก และกลายเป็นอีกหนึ่งซีรี่ส์ที่ได้รับความนิยมในบรรดานักขี่ Harley ได้ไม่ยาก ด้วยการออกแบบระบบช่วงล่างที่นุ่มนวลกว่า ทำให้ได้ความสะดวกสบายจากการขับขี่ โดยยังคงเสน่ห์ของเครื่องยนต์ V-Twin ที่เน้นแรงบิดสูงในรอบต่ำ และมันก็ถูกทำซ้ำต่อเนื่องในหลายปี จนมีการพัฒนาใหม่ๆ ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

8

2002 VRSC V-Rod

ถูกขนานนามว่า “มันคือฮาร์เลย์สำหรับคนที่เกลียดฮาร์ลีย์” อาจจะดูย้อนแย้งไปสักหน่อย แต่นี้ก็คือผลจากการพัฒนา Project Nova ร่วมกับ Porsche โดยเจ้า 2002 VRSC V-Rod มาพร้อมกับขุมกำลัง V-Twin 1,131 ซีซี รูปแบบใหม่ DOHC ระบายความร้อนด้วยน้ำ โดยใช้เฟรมหลักมาจาก Roadracer VR1000 และจาก H-D dragrace ที่เน้นการเคลื่อนที่บนทางเรียบด้วยความเร็วสูง ซึ่งมันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองต่อลูกค้าที่คลั่งไคล้ความเร็ว แต่ในที่สุด ปี 2018 โมเดลนี้ก็ถูกยุติการผลิตในที่สุด

9

2019 LiveWire
ผลงานสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการมอเตอร์ไซค์ในสหรัฐ เจ้า LiveWire เปิดตัวเมื่อเดือนตุลาคมปี 2019 และเริ่มจำหน่ายในปีเดียวกัน และมันก็สร้างปรากฎการณ์ที่เหนือกว่าคู่แข่งในตลาดที่อยู่ในวงการยานพาหนะพลังงานไฟฟ้าเบอร์หนึ่งของอเมริกาอย่าง Zero ที่ในปัจจุบัน LiveWire ที่ขยับขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งในเรื่องของยอดขาย แซงหน้าเบอร์สอง ด้วยยอดจำหน่ายที่เหนือกว่าถึงสองเท่าเลยทีเดียว

10

2021 Pan America

Pan America 1250 ไม่เพียงแต่เป็นรถมอเตอร์ไซค์รูปแบบใหม่ที่แตกต่างออกไปจากผลิตภัณฑ์เดิมๆ ของแบรนด์ แต่มันมาพร้อมกับเครื่องยนต์ชุดใหม่ ที่มีชุดระบายความร้อนด้วยน้ำ วาล์วแปรผัน อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ควบคุมโดย IMU ระบบกันสะเทือนแบบอิเล็กทรอนิกส์ ถึงแม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่ใช่เรื่องใหม่บนโลกมอเตอร์ไซค์ แต่นี้เป็นครั้งแรกที่ผลิตภัณฑ์ของ H-D จะมีระบบที่ซับซ้อน และอัดแน่นไปด้วยนวัตกรรมสำหรับรถมอเตอร์ไซค์สมัยใหม่

ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก www.motorcycle.com