10 หนทางสู่การเป็นนักขี่ที่ดีกว่าเดิม
ถ้าเพื่อนๆได้ติดตาม Greatbiker.com มา พวกเรามักจะนำเอาเรื่องราวของการขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ให้สนุกและปลอดภัย มานำเสนอเพื่อนๆ อยู่เสมอ และนี้ก็เป็นอีกครั้งที่เราจะขอพาเพื่อนๆไปพบกับ 10 หนทางสู่การเป็นนักขี่ที่ดีกว่าเดิมกันครับ
1.ระวังตัวเสมอ
ความไม่ประมาทคือหนทางที่เป็นจริง การตั้งตนไม่ให้อยู่ในความประมาท คอยระแวดระวังตัวเองอยู่เสมอ สอดส่องดูความผิดปกติบนเส้นทางที่เราจะไป และคอยประเมินสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าจะมีเพียงแต่เราบนท้องถนน แต่ยังมีคนอื่นๆ อีกทั้งการขับขี่ในบ้านเรานั้นก็มีปัจจุอื่นๆ เข้ามาก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ ไม่ว่าจะเป็นสภาพพื้นผิวของถนนที่เราไป สิ่งกีดขวางที่เราไม่คาดฝัน หรือแม้แต่หมาข้างทางก็ทำให้หลายๆคนกลิ้งคว่ำกลิ้งหงายมามากมายนัดต่อนัด จนก่อให้เกิดวลีเด็ด “หลุม ทราย หมา เด็ก” ที่เป็นสิ่งที่ไบค์เกอร์ควรระวัง
2.มองให้ไกลกว่าเดิม
พื้นฐานที่สำคัญของการขับขี่มอเตอร์ไซค์คือการ “มอง” ซึ่งการมองเห็นนั้นเป็นสิ่งพื้นฐานที่เราสามารถเข้าถึงได้ การมองในระยะปกติตามระดับสายตาของแต่ล่ะคนนั้นมีความแตกต่างกัน เช่นเดียวกับการขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ถ้าเรามองไปข้างหน้าเพียงไม่กี่เซนติเมตร ความสามารถการประเมินสถานการณ์ของเราก็จะต่ำลง แต่ถ้าเรามองไปให้ไกลกว่าเดิม เราจะเปิดโหมดใหม่ เหมือนกับเราจะเห็นภาพรวมที่กว้างขึ้น และยังเห็นในตำแหน่งที่เราเคยเพ่งเมื่อครั้งก่อน แต่มันจะเสริมด้วยระยะทางในการประเมิน ตัดสินใจ และตั้งสติ เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่คาดฝันไม่ให้เกิดขึ้นได้ หรืออาจจะช่วยลดความเสียหาย ผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ ไม่มากก็น้อย
3.รักษาวิสัยทัศน์ให้กว้างเสมอ
ต่อเนื่องจากหัวข้อที่แล้ว การมองไปให้ไกลนั้นจะช่วยเปิดวิสัยทัศน์ของการขับขี่ให้กว้างขึ้น แต่สิ่งที่เราพึงทำเสมอคือการรักษาระดับวิสัยทัศน์นั้นให้ต่อเนื่อง เราจะเห็นหลายๆ คนมากที่มักจะขี่รถมอเตอร์ไซค์ ไปข้างหน้า แต่มักจะก้มมองหน้าจอแสดงผล หรือไม่ก็มองปลายท่อไอเสียของตัวเอง หรือที่หนักกว่าคือหันไปสนใจสิ่งของข้างทางมากกว่าบนถนน แต่ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ว่าจะมองไม่ได้เลย แต่ก็ต้องให้พอประมาณหนึ่งไม่ใช่หันมองทุกๆ 30 วินาที ซึ่งแน่นอนว่าการละสายตาออกจากท้องถนนที่ไม่ใช่มีเพียงแต่เราผู้เดียวในการใช้งานนั้นคือความประมาทที่ไม่น่าให้อภัย และอาจจะเป็นบ่อเกิดความเสียหายได้
4.รู้จักตำแหน่งท่านั่งของรถตัวเอง
ท่านั่งในการขับขี่นั้นมีความแตกต่างออกไปจากแนวทางของตัวรถ เราจะสังเกตเห็นได้จากรถในแนวสปอร์ตฟูลแฟร์ริ่ง ที่เราจะต้องเอนตัวไปข้างหน้า หมอบต่ำลงมาเล็กน้อย ซึ่งมันจะบังคับด้วยตำแหน่งของเบาะ ฉอนด์ พักเท้า ซึ่งรถแต่ล่ะแนวทางก็มีการวางตำแหน่งที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นเราควรรู้ว่าท่าทางในการขับขี่รถแต่ล่ะคันนั้นจะมีความแตกต่าง และจะมีท่าทางที่เหมาะสมที่สุดในการขับขี่ของรถในแนวนั้นๆ ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้ร่างกายถูกจัดอยู่ในท่าทางที่เป็นระเบียบแล้ว ยังช่วยในการควบคุมตัวรถพร้อมกับรักษาจุดศูนย์ถ่วงตามที่วิศวกรที่ออกแบบตัวรถได้ทำการคิดและวิเคราะห์มาเป็นอย่างดี
5.ผ่อนคลาย
การผ่อนคลายในที่นี้หมายถึงการผ่อนคลายร่างกายในการขับขี่นะครับ ไม่ใช่ว่าการผ่อนคลายคือการนั่งชิลจิบเครื่องดื่มสุดโปรดทั้งๆ ที่ยังขับขี่อยู่ โดยการผ่อนคลายนี้มันก็จะสอดคล้องกับข้อที่ผ่านมา เมื่อเรามีท่าทางการขับขี่ที่ถูกต้องแล้ว ก็ต้องผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ด้วยการไม่จับแฮนด์แบบแขนตรงเกินไป ไม่กางขาออกจากถังน้ำมันหรือนอกตัวรถขณะขับขี่ ไม่เพียงแต่จะทำให้เรามีความสามารถในการควบคุมตัวรถที่มากขึ้นแล้ว ยังช่วยลดอาการเมื่อยล้าจากการขับขี่อีกด้วย
6.เดินคันเร่งให้เนียน
สังเกตว่านักบิดมืออาชีพเปลี่ยนจากการเร่งความเร็วเป็นการเบรก เป็นการเลี้ยวและเร่งความเร็วได้อย่างไร การเดินคันเร่งให้สมูทหรือราบรื่นนั้นคือหัวใจหลักของการขับขี่แบบนี้ เมื่อเราทำการกระแทกคันเร่งเราจะเห็นได้ถึงแรงกระชากของเครื่องยนต์ที่ถูกอัดกำลังจำนวนมากเข้าไป ซึ่งตามธรรมชาติของมันคือการผลักตัวรถให้พุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะมาถึงการวางตำแหน่งการขับขี่ที่ผิดเพี้ยน เราจะเห็นได้ว่าเมื่อเรากระแทกคันเร่งแบบไม่ตั้งใจทุกครั้งเราจะเกิดอาการหน้าหงาย ซึ่งมันเป็นกลไกตามหลักการเอาตัวรอดของมนุษย์ทุกคน แต่ถ้าเราทำตรงกันข้ามล่ะ ค่อยๆ เดินคันเร่งที่ล่ะนิดพอร่างกายเข้าสู่ตำแหน่งและพร้อมสำหรับรับแรงกระชาก ก็กระแทกคันเร่งออกไป แต่ทั้งนี้ความราบรื่นจะเกิดขึ้นได้ก็มีปัจจัยภายนอกอย่าง ยางและสภาพพื้นผิวของถนนเป็นตัวเบี่ยงเบนความแม่นยำอีกนะ
7.ขี่ในฝนหรือถนนลื่นให้เป็น
มีคำนิยามไว้ว่า “อยู่ใต้ฟ้า กลัวอะไรกับฝน” ใช่ครับเราไม่กลัวฝนนะ แต่เราต้องระวังฝน เพราะฝนไม่ได้มาเพียงแต่ความเปียกชื้นเท่านั้น มันจะมาพร้อมกับความลื่นบนพื้นผิวที่เกิดจากตัวฝนเองหรือการไหลรวมของสิ่งไม่พึงประสงค์ต่างๆ ทัศนวิสัยที่มองได้ไม่ไกลเท่าเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสภาพถนนเมืองไทย ที่มีหลากหลายรูปแบบ บางครั้งเราอาจจะเจอบ่อน้ำขนาดเล็ก แอ่งน้ำขนาดใหญ่ หรือเจอกับพื้นถนนที่มีส่วนผสมของน้ำมัน ดังนั้นการขับขี่ในรูปแบบนี้ ก็เป็นสิ่งที่ท้าทายนักขี่ไม่น้อย แน่นอนว่ารถมอเตอร์ไซค์ในยุคปัจจุบันเองก็มีการผลิตที่รองรับกับการขับขี่แบบนี้ โดยเราจะเห็นได้ว่าผลิตภัณฑ์ที่มีราคาแพง จะมาพร้อมโหมดการขับขี่ Rain ซึ่งจะเป็นการตัดกำลังบางส่วน พร้อมกับการปรับความถี่ในการส่งกำลังให้นุ่มนวล พร้อมกับเปิดมาตรการรักษาความปลอดภัยของตัวรถแบบเต็มพิกัด ซึ่งร้อยล่ะ 90 ของรถมอเตอร์ไซค์บ้านเราไม่ได้มีเทคโนโลยีช่วยเหลือตามที่กล่าวไว้ ดังนั้นโหมดการขับขี่แบบ Rain ที่ดีที่สุดก็คือการขับขี่ของเราเอง ช้าลงหน่อย คอยสังเกตความผิดปกติ พยายามมองให้ไกลขึ้น หรือถ้าไม่ไหวจริงๆ การจอดพักก็เป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับเรื่องนี้
8.ใช้งานเบรกให้เป็น
โดยพื้นฐานแล้วระบบเบรกในรถมอเตอร์ไซค์นั้นจะมีด้วยกันสามรูปแบบประกอบไปด้วย เบรกหน้า เบรกหลัง และ เบรกด้วยเครื่องยนต์หรือ Engine Brake โดยระบบเบรกที่สำคัญที่สุดก็คือระบบเบรกด้านหน้า และ Engine Brake ซึ่งทั้งสองส่วนนี้ เป็นระบบเบรกที่สามารถช่วยในการหยุดรถได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยเราจะสังเกตได้ว่าจานดิสก์เบรกหน้าจะมีขนาดที่ใหญ่กว่าด้านหลังเสมอ เพราะอะไร เพราะมันต้องรับหน้าที่ในการใช้งานที่หนักกว่า เพื่อยับยั้งความเร็วที่ส่งผ่านจากล้อหลังสู่ล้อหน้า แต่โดยความเป็นจริงแล้วผู้ขับขี่ส่วนใหญ่มักจะเลือกใช้งานเบรกหลังมากกว่า เพราะกลัวว่าตัวรถจะเสียอาการและล้มในที่สุด ซึ่งมันสามารถทำได้หรือไม่ ก็สามารถทำได้นะ แต่ต้องเขาใจก่อนว่า ด้วยจานเบรกที่มีขนาดที่เล็กกว่า จำนวนปั้มเบรกที่น้อยกว่า ก็จะส่งผลให้ระยะในการเบรกนั้นยาวกว่า และถ้าเราสามารถประเมินระยะในการเบรกได้ มันจะเพียงพอสำหรับการหลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวรถชนกับอุปสรรคหรือไม่
9.ลองขี่รถวิบาก
อาจจะดูงงๆ สำหรับข้อนี้ ก็เราเป็นสายสปอร์ตทางเรียบจะให้มาขี่รถในแนววิบากเพื่ออะไร ถ้าเพื่อนที่เคยลองขี่รถวิบากจะรู้ได้อย่างทันทีว่ามันสามารถรีดเค้นเองศักยภาพในการขับขี่ของเราออกมาได้มากที่สุด จะดูว่าใครเก่งจริงก็ต้องดูการขับขี่ด้วยแนวทางนี้ มันอาจจะมีความต่างในการขับขี่บนทางเรียบก็จริง ทั้งหลักการนั่ง ท่าทาง การใช้เบรก แต่มันใช้ทักษะหลายๆ ที่สามารถนำมาปรับใช้งานกับรถทางเรียบได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเราจะเห็นได้จากบรรดานักแข่ง MotoGP ที่มีอาชีพหลักเป็นนักแข่งทางเรียบ แต่ทั้งหมดมักจะมีการฝึกซ้อมบนรถวิบากด้วย เพราะมันเสริมสร้างทักษะและสามารถเรียกความฟิตของร่างกายได้เป็นอย่างดีนั่นเอง
10.เข้าโรงเรียนสอนขับขี่
วิธีนี้เป็นเหมือนทางสู่การเป็นนักขี่ที่ดี เพราะนอกเหนือจากการเรียนรู้ด้วยตัวเองแล้ว การมีผู้เชี่ยวชาญคอยบอกและช่วยสอนโดยตรงจะเป็นการบันทึกสู่สมองที่ดีกว่าการลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง อีกทั้งในตอนนี้ บ้านเราเองก็มีโรงเรียนที่สอนการขับขี่หลากหลายสถาบัน อีกทั้งแต่ล่ะสถาบันเองก็มีหลักสูตรที่หลากหลาย ครอบคลุมในทุกๆ แนวทาง ไม่ว่าจะเป็นทางเรียบ สปอร์ต วิบาก หรือแนวทาง Adventure ที่กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบัน หรือแม้แต่รถแม่บ้าน สกู๊ตเตอร์เองก็มีการเปิดสอนการใช้งานและการขับขี่ที่ถูกต้อง และยังไม่ต้องเป็นผู้ที่มีรถในครอบครองก็สามารถเรียนรู้ได้ เรียกได้ว่าเป็นแหล่งความรู้ที่เหมาะสมสำหรับนักขี่มอเตอร์ไซค์ทุกระดับจริงๆ
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก www.bikesrepublic.com
Keattisak Ngamkham – Writer, automotive journalist with experience The whole motorcycle industry and the motorsport industry Expert in doing reviews of all types of motorcycles.