เปิดตัว Kawasaki Ninja 7 Hybrid รถสปอร์ตรุ่นใหม่ ขุมกำลังไฮบริด อย่างเป็นทางการ
เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา Kawasaki Motors Europe ได้ทำการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ตระกูล Ninja และเป็นผลิตภัณฑ์แรกของบริษัท ที่มีระบบส่งกำลังในรูปแบบไฮบริด
Kawasaki Ninja 7 ถือว่าเป็นเวอร์ชั่นผลิตจริงของรุ่นต้นแแบบที่เคยโชว์ตัวที่งาน EICMA 2022 ปลายปีที่แล้ว โดยตัวรถนั้นจะมีรูปลักษณ์หน้าตาที่คล้ายกับ Kawasaki Ninja 400 ที่มาพร้อมกับรูปแบบของรถสปอร์ตฟูลแฟร์ริ่ง ที่น่าสนใจคือตัวรถนั้นจะมีระบบส่งกำลังที่งานร่วมกัน 2 ระบบ
ขุมกำลังหลักของ Kawasaki Ninja 7 จะเป็นเครื่องยนต์สันดาปภายในขนาด 451 ซีซี 2 ลูกสูบ 4 จังหวะ ที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ และมีความพิเศษที่สามารถเลือกใช้งานระบบเกียร์ได้ 2 รูปแบบ คือแบบมาตรฐานและแบบอัตโนมัติ ซึ่งจะมีรูปแบบการทำงานคล้ายกับระบบเกียร์ DCT ของ Honda ที่ไม่มีคลัตซ์มือ และการเปลี่ยนเกียร์จะเป็นแป้นเกียร์ที่วางบนประกับทั้งสองข้างแทน ระบบส่งกำลังยังมีการพ่วงมอเตอร์ขับกำลังไฟฟ้าขนาด 9 kilowatt ที่สามารถรีดกำลังได้ 12 แรงม้า (hp) โดยใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ลิเธียมขนาด 48-volt ส่งผลให้ตัวรถมีกำลังสูงสุดรวม 58.3 แรงม้า (hp) ซึ่งสามารถเพิ่มขึ้นถึงจุดสูงสุดได้ 68.5 แรงม้า (hp) เมื่อเปิดโหมด e-Boost
จากข้อมูลของ Kawasaki Ninja 7 ในแง่ของขนาดทางกายภาพและสมรรถนะ มีความคล้ายคลึงกับรถมอเตอร์ไซค์ขนาด 650 -700 ซีซี อาจเป็นเพราะเหตุนี้จึงเลือกที่จะเรียกมันว่า Ninja 7 ซึ่งเป็นชื่อที่แตกต่างจากแนวทางการตั้งชื่อที่มีอยู่ในปัจจุบันของไลน์ผลิตภัณฑ์ และเพื่อดึงดูดความสนใจไปที่ข้อเท็จจริงที่ว่าไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ในรูปแบบเดิมๆ ที่เราคุ้นเคย แต่คล้ายกันมากพอที่จะทำให้รับรู้ได้ว่าตัวรถจะเป็นผลิตภัณฑ์ในซีรี่ส์เดียวกัน
ถึงแม้ว่าทางผู้ผลิตเองจะยังไม่เปิดเผยข้อมูลจำเพาะทั้งหมดของตัวรถ แต่ทาง Kawasaki ก็เปิดเผยถึงคุณสมบัติพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นระบบ idle stop function หรือการหยุดการทำงานเครื่องยนต์ขณะเดินเบา ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่พบในสกู๊ตเตอร์บางรุ่นแล้ว แต่ไม่เคยพบเห็นได้ทั่วไปในรถมอเตอร์ไซค์รูปทรงแบบนี้ ระบบ Automatic Launch Position Finder ซึ่งจะเป็นระบบที่ช่วยจัดสรรการทำงานของชุดเกียร์ในขณะออกตัว โดยจะทำงานให้ตำแหน่งของเกียร์นั้น เหมาะสมที่สุดกับรอบเครื่องยนต์ที่กำลังทำงานอยู่ ระบบ Walk Mode ระบบช่วยเดินหน้าหรือถอยหลังแบบอัตโนมัติบนความเร็วต่ำ ฟีเจอร์นี้เปิดตัวใน Kawasaki Ninja e-1 และ Z e-1 ช่วยให้ตัวรถสามารถเคลื่อนที่ผ่านการจารจรที่หนาแน่นได้อย่างคล่องตัว
ในส่วนของอุปกรณ์บนตัวรถนั้น นอกเหนือจากระบบไฟ LED รอบคันแล้ว จะมีหน้าจอแสดงผลแบบ TFT สีเต็มรูปแบบพร้อมเลย์เอาต์ที่ดูคล้ายกับที่พบใน Kawasaki Ninja e-1 และ Z e-1 โหมดการขับขี่ 3 โหมด: EV, Eco Hybrid และ Sport Hybrid ระบบเบรกด้านหน้าจะเป็นดิสก์เบรกแบบคู่ ส่วนด้านหลังจะเป็นดิสก์เดี่ยว พร้อมระบบ ABS แบบ Dual-Channel
ยังไม่มีการเปิดเผยเรื่องของราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการ รวมไปถึงกำหนดการวางจำหน่าย โดยสื่อต่างประเทศคาดว่าตัวรถจะเข้าสู่ตลาดรถมอเตอร์ไซค์ในโซนยุโรปเป็นที่แรก และคาดว่าจะพร้อมในการวางจำหน่ายช่วงเมษายนปี 2024 เป็นต้นไป
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก www.rideapart.com
Keattisak Ngamkham – Writer, automotive journalist with experience The whole motorcycle industry and the motorsport industry Expert in doing reviews of all types of motorcycles.