เปิดตัว Honda X-ADV 2025 แอดแวนเจอร์สกู๊ตเตอร์รุ่นใหม่
Honda X-ADV เปิดตัวครั้งแรกตั้งแต่ปี 2017 ซึ่งเป็นเหมือนสารตั้งต้นให้กับกลุ่มผลิตภัณฑ์สกู๊ตเตอร์แนวแอดแวนเจอร์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน โดยรุ่นใหม่ในปี 2025 ได้มีการประกาศเปิดตัวแล้วในตลาดยุโรป ซึ่งล่าสุด ก็ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศญี่ปุ่นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
โดยตัวรถรุ่นปี 2025 ทุกคัน จะมีการเปลี่ยนแปลงวัสดุใหม่ โดยใช้วัสดุรีไซเคิลสำหรับตัวถัง แฟร์ริ่งบางส่วน เบาะนั่ง รวมไปถึงกล่องสัมภาระ และยังมีการใช้งานพลาสติกชีวมวล Durabio สำหรับชิ้นส่วนแฟริ่งบางส่วน รวมไปถึงชิลด์บังลมด้านหน้า และยังมีการปรับปรุงในเรื่องของการปรับระดับความสูงของชิลด์หน้าใหม่ ที่สามารถปรับได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว คล้ายๆ กับของ ADV160 ไฟหน้าได้รับการออกแบบใหม่ โดยมีไฟ DRL ใหม่ที่ทำหน้าที่เป็นไฟเลี้ยว และยังมีการใส่เทคโนโลยีใหม่อย่าง hidden eye ที่ทำให้บริเวณรอบเลนส์โปรเจ็กเตอร์มืดลง ทำให้ไฟ DRL โดดเด่นขึ้น
นอกจากนี้ยังมีการปรับในส่วนของอุปกรณ์ใหม่ อย่างหน้าจอแสดงผล TFT สีขนาด 5 นิ้วใหม่ ที่มีการปรับความสว่างแบบอัตโนมัติ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาวะแสงที่เป็นอยู่ ณ ตอนนั้น หน้าจอสามารถปรับแต่งการแสดงผลได้ 3 รูปแบบ Bar, Circle และ Simple และรองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนผ่านแอป Honda RoadSync
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการปรับปรุงในส่วนของระบบกุญแจ Honda Smart Key ใหม่ ทดอาการดีเลย์ของสัญญาณ ที่เคยเป็นปัญหามาก่อน มีการเพิ่มซ็อกเก็ต USB-C และมีการเพิ่มระบบยกเลิกไฟเลี้ยวอัตโนมัติ โดยอิงจากการคำนวนของแกน IMU ซึ่งจะปิดการทำงานของระบบไฟเลี้ยวเองอัตโนมัติเมื่อตรวจพบว่าตัวรถตั้งตรงแล้ว และยังมีการเพิ่มระบบไฟแจ้งเตือนการเบรกฉุกเฉิน ESS เมื่อระบบตรวจพบว่ามีการใช้งานเบรกหน้าหรือหลังมากกว่าปกติ
ในส่วนของระบบอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้รับการปรับปรุงด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นระบบคันเร่งไฟฟ้าที่มีการปรับแต่งโหมดการขับขี่ใหม่ โดยจะมี 4 โหมดการขับขี่พื้นฐานประกอบด้วย Standard, Sport, Rain และ Gravel ซึ่งยังคงมีโหมด User เป็นโหมดที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานได้ปรับแต่งการตั้งค่าเป็นของตนเอง อีกทั้งยังมีการปรับปรุงในส่วนของระบบเกียร์ DCT ช่วยให้สามารถออกตัวจากจุดหยุดนิ่งและควบคุมรถที่ความเร็วต่ำได้โดยไม่เปลี่ยนเกียร์เองอีกต่อไป โดยสามารถคลานบนความเร็วต่ำ ได้เร็วที่สุดที่ 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ในส่วนของสีสันในการอัปเดทใหม่สำหรับประเทศญี่ปุ่นนั้น ก็ไม่ได้แตกต่างจากเวอร์ชั่นยุโรปมากนัก โดยมี 3 สีหลักที่ประกอบด้วย Pearl Glare White, Matte Deep Mud Grey และสีที่เป็นรุ่นพิเศษสำหรับตลาดยุโรป อย่างสี Matte Gold Finch Yellow ก็ยังถูกใช้เป็นสีพิเศษเช่นเดียวกัน โดยจะต้องเพิ่มเงินอีก 33,000 เยน หรือประมาณ 7,490 บาท จากราคาเต็มของตัวรถที่ 1,438,800 เยน หรือประมาณ 326,455 บาท
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก young-machine.com
Keattisak Ngamkham – Writer, automotive journalist with experience The whole motorcycle industry and the motorsport industry Expert in doing reviews of all types of motorcycles.
