เจาะลึกรายละเอียด 2018 Kawasaki Ninja 400
เป็นอีกหนึ่งโมเดลที่แฟนๆ ค่ายยักษ์เขียว Kawasaki นั้นจับตามองเป็นอย่างมาก กับการกลับมาทำรถมอเตอร์ไซค์สปอร์ตฟูลแฟร์ริ่งพิกัด 400 ซีซี อีกครั้งของค่ายยักษ์เขียว และหลังจากเปิดตัวไปที่งาน Tokyo Motor Show 2017 ที่กำลังจัดอยู่ในตอนนี้ พวกเราทีมงาน GreatBiker จะขอพาเพื่อนๆ มาดูรายละเอียดแบบเจาะลึกกันดีกว่าครับ
แรกเริ่มเดิมทีนั้น Kawasaki ก็มีโมเดล Ninja 400 อยู่แล้ว แต่เป็นการนำเอาเจ้าสปอร์ตฟูแฟร์ริ่งระดับกลางอย่างเจ้า Kawasaki Ninja 650 มาทำการย่อยส่วนขนาดของเครื่องยนต์ลง โดยโครงสร้างพื้นฐานนั้นจะมีความคล้ายคลึงกันพอสมควร ซึ่งมาในโมเดลใหม่นี้เรียกได้ว่าเป็นโมเดลแบบ All New ได้อย่างเต็มปาก เพราะเครื่องยนต์บล็อกใหม่ รวมไปถึงการออกแบบโครงสร้างตัวถังแบบใหม่ โดยไม่ได้อ้างอิงมาจาก Ninja 650 มาแต่อย่างใด
โดยเจ้าโครงสร้างตัวถังที่ได้รับการออกแบบใหม่นั้นเป็นแบบ Trellis High-Tensile Steel ที่สามารถทดทานต่อแรงบิดได้สูงกว่า Semi – Double Candle ที่อยู่ใน Ninja300 รวมไปถึงมีน้ำหนักที่เบากว่าเดิม ทำให้น้ำหนักของเจ้า Ninja 400 คันนี้มีน้ำหนักตัวเพียง 168 กิโลกรัม ซึ่งเบากว่า Ninja 300 อยู่ถึงเกือบ 8 กิโลกรัม ซึ่งมันก็สอดคล้องกับ Swingarm แบบใหม่ที่ทางทีมพัฒนาได้ออกแบบมาให้ติดกับโครงสร้างหลัก โดยติดตั้งอยู่บริเวณหลังของเครื่องยนต์ ทำให้จุดรวมของน้ำหนักนั้นอยู่บริเวณกลางตัวรถพอดิบพอดี ซึ่งมันจะทำให้การควบคุมรถนั้นทำได้ง่ายกว่า Ninja 300 ที่จุดศูนย์ถ่วงนั้นจะกระจายไปทางด้านหน้าซะมากกว่า
รูปลักษณ์การออกแบบนั้นทาง Kawasaki ได้ใช้แรงบันดาลใจมาจากสปอร์ตรุ่นใหญ่ของทางค่ายอย่างเจ้า H2 โดยวางแนวทางไว้ที่ “Street Born – Track Inspired” ซึ่งหมายความถึงเกิดมาเพื่อขับขี่บนท้องถนน แรงบันดาลใจจากสนามแข่งขัน ซึ่งทำให้เจ้า Ninja 400 คันนี้มีความบึกบึน หล่อล่ำ แบบเดียวกับที่ Ninja H2 เป็นนั่นเอง
มาดูขุมกำลังเครื่องยนต์บล็อกใหม่กันบ้าง ด้วยการออกแบบเครื่องยนต์ใหม่ขนาด 399 ซีซี 4 จังหวะ 2 ลูกสูบเรียง 8 วาล์ว ระบายความร้อนด้วยน้ำ ขนาดกระบอกสูงคูณช่วงชักจะอยู่ที่ 70.0 X 51.8 มิลลิเมตร ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับ Ninja 300 นั้นจะอยู่ที่ 62.0 X 49 มิลลิเมตร โดยเจ้าเครื่องยนต์ใหม่นี้ให้แรงม้าสูงสุดที่ 44.8 HP ที่ 10,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 38 นิวตันเมตรที่ 8000 รอบต่อนาที ซึ่งดูแล้วให้สมรรถนะที่เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้นว่าขนาดของกระบอกสูบจะมากกว่าก็ตาม รวมไปถึงการออกแบบช่องลมพิเศษที่มีขนาดที่ใหญ่กว่า และการดัดแปลงช่อง Downdraft intake ให้มีขนาดที่สั้นลง จะทำให้การทำงานของระบบระบายความร้อนนั้นทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งการน้ำเอาลมเข้ามาผสมช่วยกับระบบหม้อน้ำ ซึ่งจะเป็นการรักษาอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ให้ยาวนานมากขึ้น รวมไปถึงสายโมดิฟายที่จะปรับจูนแรงม้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องของความร้อนที่จะเกิดขึ้น
มาดูส่วนของระบบกันสะเทือนหน้ากันบ้าง เพื่อนๆ หลายๆ คนอาจจะผิดหวังว่าทำไม่ Kawasaki ไม่เลือกใช้โช้คอัพแบบ USD หรือ Upside- Down ตามสมัยนิยมเฉกเช่นค่ายรถคู่แข่งใส่มาในรถมอเตอร์ไซค์ระดับนี้กันแทบจะถูกค่ายแล้ว ซึ่งหากเรามองแบบผ่านๆ ก็อาจจะเป็นเรื่องของการทำราคาให้ไม่สูงจนเกินไป แต่ถ้าย้อนกลับมาดูกันจริงๆ แล้ว มันมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น โดยโมเดล Ninja 300 นั้น ขนาดของแกนโช้คหน้าจะอยู่ที่ 37 มิลลิเมตร ซึ่งโมเดลใหม่อย่าง Ninja 400 นั้นให้ขนาดแกนโช้คมาถึง 41 มิลลิเมตร ซึ่งถือว่าเป็นขนาดที่ใหญ่มากๆในระดับเครื่องยนต์พิกัด 400 ซีซี ซึ่งสอดคล้องกับระบบกันสะเทือนหลังแบบ Monoshock ที่สามารถปรับระดับได้ถึง 5 ระดับ นั้นก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับรถมอเตอร์ไซค์ในคลาสนี้
ระบบเบรกของ Ninja 400 มาในระบบดิสก์เดี่ยวขนาด 310 มิลลิเมตร ปั้มเบรก 2 ลูกสูบ ในด้านหน้าและด้านหลัง ดิสก์เดี่ยวขนาด 220 มิลลิเมตร พร้อมปั้มเบรกแบบคู่ พร้อมระบบ ABS ที่เป็นมาตรฐาน (โดยเฉพาะในโมเดลที่ส่งขายในยุโรปจำเป็นต้องมีตามกฎข้อบังคับ Euro4) ซึ่งมาพร้อมกับระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่อย่าง Assistant&Slipper Clutch เช่นเดียวกับที่อยู่ใน Ninja 300 แต่รับการพัฒนาขึ้นไปอีกระดับ ให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม
ระบบไฟหน้าและไฟท้ายนั้นมาในรูปแบบของ LED ที่ให้ความสว่างที่เพียงพอในการขับขี่ยามค่ำคืน รวมไปถึงระบบไฟเลี้ยวนั้นก็มาเป็นแบบ LED ด้วยเช่นกัน รูปแบบของหน้าจอแสดงผลนั้นยังคงความเป็น Kawasaki ด้วยระบบดิจิตอลผสมอนาล็อก โดยได้เพิ่มความพิเศษด้วยไฟบอกตำแหน่งเกียร์มาให้ด้วย พร้อมช่องไฟ AC ขนาด 12 V มาให้พร้อมใช้งาน
Video Promote 2018 Kawasaki Ninja 400
ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่หัวจรดเท้าจริงๆ สำหรับเจ้า 2018 Kawasaki Ninja 400 คันนี้ ซึ่งคาดว่าการเปิดตัวครั้งแรกในประเทศไทยนั้นจะเปิดตัวในงาน Motor Expo ปลายปีนี้ ส่วนเรื่องว่าจะมาในรูปแบบ 300 หรือ 400 นั้นก็ต้องดูทาง Kawasaki ประเทศไทยว่าจะวางแผนการตลาดอย่างไรต่อไป แต่สำหรับการอัพเดตครั้งนี้ประเทศไทยไม่น่าจะพลาดจากโมเดลนี้อย่างแน่นอน
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก www.motorcycle.com
Keattisak Ngamkham – Writer, automotive journalist with experience The whole motorcycle industry and the motorsport industry Expert in doing reviews of all types of motorcycles.