Triumph Scrambler VS Ducati Scrambler Icon Yellow Edition
ต้องบอกเลยว่า ช่วงนี้รถแนวๆ คลาสสิค ถือว่าหลายๆ ค่ายเริ่มที่จะทำการบ้านและปล่อยโฉมออกมาให้เห็นกันทีละค่าย สองค่ายไปเรื่อย ๆ อย่างล่าสุดก็จะเป็นคิวของทางค่ายปีกนกอย่าง Honda และค่ายใบพัดสีฟ้าขาวอย่าง BMW ซึ่งถ้ามองดูให้ดีแล้ว….อาจจะเป็นช่วงโอกาสทองที่หลายๆ ค่ายเองอยากจะใช้โอกาสนี้ในการสร้างกระแสให้มีความนิยมเหมือนกับเจ้าบิ๊กไบค์ในปัจจุบัน
และวันนี้เราก็ไม่อยากที่จะตกกระแส จึงอยากจะหยิบยกเอาเจ้าตัว Scrambler ของสองค่ายยักษ์ใหญ่ ที่ต้องถือว่าเป็นที่รู้จักและคุ้นหน้าคุ้นตากันดี กับ สองค่ายนี้ นั่นก็คือ Triumph และ Ducati นั่นเอง เริ่มต้นกันที่ทางค่ายรถจากเมืองผู้ดีประเทศอังกฤษกันก่อนเลย กับเจ้า Triumph Scrambler คันนี้ ถือว่ามีความโดดเด่นไม่น้อยเหมือนกันกับมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์แนวเรทโทร ที่ถือว่าได้รับการออกแบบมาเหมือนจะเป็นอมตะแห่งรถคลาสสิคแม้กาลเวลาจะผ่านไปแล้วเนินนานเพียงใดก็ตาม แต่ก็ยังคงมีความคลัง ความเท่ห์และความแตกต่างในตัวดีไซน์รูปโฉมต่างๆ ว่าไปแล้วก็ดูดีไม่น้อยจนน่าขับขี่กันเลยทีเดียว เจ้าตัวนี้มาพร้อมเครื่องยนต์ที่แรงและมีความครบครันในเรื่องของประสิทธิภาพที่ก็ดูโดดเด่นไม่แพ้ค่ายใดๆ เลยทีเดียว
การออกแบบและดีไซน์เจ้า Triumph Scrambler ไม่ว่าจะเป็นที่ตัวไฟหน้าที่ให้อารมณ์และความคลาสสิค เป็นรูปแบบทรงกลม พร้อมกับตัวเรือนไมค์ที่ออกแบบมาแสดงมาตรวัดค่าต่างๆ เป็นแบบอนาล๊อคแสดงความคลาสสิก ตัวโช้คกันสะเทือนด้านหน้าก็ทำออกมาได้ดูย้อนยุค ถัดมาที่ตัวถังน้ำมัน ก็ยังคงใส่ความเป็นแบรนด์ Triumph บวกกับความคลาสสิคร่วมสมัยได้อย่างลงตัว ส่วนเบาะหนังแท้จำนวน 2 ที่นั่ง เป็นแบบชิ้นเดียวยาวไปถึงด้านท้ายรถกันเลยทีเดียว….
หันมาดูกันที่การออกแบบและดีไซน์ของเจ้า Ducati Scrambler กันต่อ…ก็หาได้น้อยหน้าแต่อย่างใด มีการจัดวางแบบของตัวรถต่างๆ ได้อย่างลงตัวเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการดีไซน์ตัวไฟหน้า ให้มีความคลาสสิค แต่ล้วนแล้วแต่การใส่ใจรายละเอียดความทันสมัยแอบแฝงลงไป เพื่อให้ผู้ขับขี่ได้สัมผัสถึงความเป็นรถสัญชาติอิตาลีอย่างแท้จริงที่ยังคงไว้ซึ่งเสน่ห์ เรือนไมค์ที่ให้มา ก็คงไว้ซึ่งดีไซน์แต่ก็ให้ความสะดวกสบายและความทันสมัยที่ครบครัน ส่วนในเรื่องของระบบกันสะเทือนนั้น ด้านหน้าเลือกที่จะจัดของค่าย Kayaba เป็นแบบ Upside down ขนาด 41 มม. ส่วนระบบกันสะเทือนด้านหลังเป็นของค่าย Kayaba พร้อมออฟชั่นสำหรับการปรับ Pre-Load ได้อีกด้วย สำหรับอีกหนึ่งความโดดเด่นที่ทางค่ายบิ๊กไบค์ Ducati ทำได้อีกนั่นก็คือการออกแบบตัวถังน้ำมันของ Ducati Scrambler ซึ่งมันก็บ่งบอกความเป็นรถคลาสสิคที่แฝงความทันสมัยและความร้อนแรงจากอิตาลีได้ดีเช่นกัน สัดส่วนของเบาะนั่งนั้นก็มีลักษณะที่คล้ายกับเจ้า Triumph Scrambler จำนวน 2 ที่นั่น ตัวเบาะเป็นแบบชิ้นเดียวเหมือนกัน
หลังจากที่ดูเกี่ยวกับภาพรวมการจัดวางและการออกแบบกันไปแล้ว มาดูกันต่อในเรื่องของพละกำลังบล็อคเครื่องยนต์กันบ้าง เจ้า Triumph Scrambler มาพร้อมกับสมรรถนะเครื่องยนต์บล็อก 865 ซีซีแบบ 2 สูบเรียง parallel-twin DOHC ระบายความร้อนด้วยอากาศ โดยเครื่องยนต์สามารถทำกำลังแรงม้าได้สูงถึง 58 แรงม้าที่ 6,800 รอบต่อนาที แรงบิตสูงสุดอยู่ที่ 50 ft.lbs ที่ 4,750 รอบต่อนาที พร้อมระบบเกียร์ส่งกำลังแบบ 5 สปีด โดยมีระบบคลัทช์เป็นแบบเปียกมัลติเพิล พร้อมระบบเบรกแบบดิสก์เบรกทั้งหน้าและหลังที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่และหยุดรถได้เป็นอย่างดี
แต่ในฝั่งของทางค่าย Ducati กันบ้างเจ้า Ducati Scrambler มาพร้อมกับบล็อกเครื่องยนต์ที่ความจุกระบอกสูบที่ 803 ซีซี พร้อมระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ พร้อมแรงม้า 75 แรงม้าที่ 8,250 รอบต่อนาที (บล็อกเครื่องยนต์ตัวเดิมของเจ้า Monster 795 ซึ่งนำมาปรับแต่งอีกนิดหน่อย…. ตัวนี้ดูเหมือนจะได้เปรียบกว่าในเรื่องของ กำลังแรงม้า ที่ดูแล้วจะมีมากกว่าหลายแรงม้ากันเลยทีเดียว แต่ก็คงจะเสียเปรียบกันไปในเรื่องของจำนวนซีซีที่ดูจะน้อยกว่า เจ้า Ducati Scrambler ตัวนี้มาพร้อมระบบเกียร์ส่งกำลังแบบ 6 สปีด แน่นอนว่านอกจากตัวดีไซน์ของตัวรถแล้ว ยังจะมีความโดดเด่นในเรื่องของ บล็อกเครื่องยนต์ที่ต้องบอกเลยว่า สร้างชื่อให้กับทาง Ducati เป็นอย่างมากนั่นก็คือเครื่องยนต์แบบ L-Twin,
สำหรับเรื่องของมิติตัวรถนั้น เจ้า Triumph Scrambler จากเมืองผู้ดีแห่งประเทศอังกฤษจะมีมิติตัวรถอยู่ที่ ความกว้าง x ความยาว x ความสูง อยู่ที่ 2213.00 มม. x 860.00 มม. x 1202.00 มม. แลด้วยมิติของตัวรถประมาณนี้ทำให้มันมีน้ำหนักตัวรวมทั้งหมดอยู่ที่ 230 กิโลกรัม พร้อมถังน้ำมันที่สามารถจุได้ถึง 16 ลิตร และสำหรับคู่ฟัดที่เรียกว่าฟัดกันมาตลอดกาล อย่างเจ้า Ducati Scrambler ที่ ความกว้าง x ความยาว x ความสูง อยู่ที่ 2100-2165 มม. x 845.00 มม. x 1150.00 มม. และด้วยมิติของตัวรถประมาณนี้ทำให้มันมีน้ำหนักตัวรวมทั้งหมดอยู่เพียง 170 กิโลกรับ ในส่วนนี้ เจ้า Ducati Scrambler มีน้ำหนักที่เบากว่าถึง 60 กิโลกครัมแต่ตัวถังน้ำมันจุได้น้อยกว่าฝั่งของเมืองผู้ดี ประมาณ 2.5 ลิตร
และสุดท้ายเรามาดูกันเรื่องของราคาค่าตัวกันบ้าง สำหรับเจ้า Triumph Scrambler สนนราคาค่าตัวสุทธิอยู่ที่ 635,000 บาท แต่ในทางกลับกัน เจ้า Ducati Scrambler สามารถที่จะทำการบ้านในส่วนนี้ได้ดีกว่า เพราะมีราคาค่าตัวที่ถูกกว่าถึง 260,100 บาทกันเลยทีเดียว โดยสนนราคาค่าตัวอยู่ที่ 374,900 บาท แต่แล้วสุดท้าย และท้ายสุด ก็คงต้องอยู่ที่การตัดสินและชื่นชอบของไบค์เกอร์แต่ละท่าน ว่าอยากจะเลือกซื้อและบ่งบอกความเป็นตัวเราในแบบไหนนั่นเอง……
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก : cycleworld.com