ทำไม 2020 Ducati Superlegera V4 ถึงเป็นสุดยอดซุปเปอร์ไบค์แห่งยุค
หลังจากที่เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 โดยเฉพาะในประเทศอิตาลีทำให้อุตสาหกรรมและเศรษฐกิจภาพรวมเกิดการชะลอตัวขึ้น แต่สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนจะไม่มีผลกระทบต่อกลุ่มแฟนคลับเดนตายของ Ducati เลยแม้แต่น้อย เพราะล่าสุด Ducati ได้ปล่อยเจ้า Superlegera V4 โมเดลพิเศษรุ่นใหม่ที่ผลิตในจำนวนจำกัดเพียง 500 คัน ในราคาที่โคตรแพง และดูเหมือนว่าจะมีความต้องการที่มากกว่ากำลังการผลิตที่กำหนดไว้
ย้อนกลับไปในช่วงเดือนพฤศจิกายนปี 2019 Ducati ได้ทำการเปิดตัวต้นแบบของ Superlegera V4 โมเดลพิเศษที่จัดว่าเป็นรถในสาย Production ที่มีการวางสเปกและประสิทธิภาพพร้อมทั้งอุปกรณ์ที่เป็นขั้นสุดของรถที่สามารถขับขี่บนท้องถนนได้ โดยเป็นการนำเอาขุมกำลังของเครื่องยนต์ที่ติดตั้งอยู่ใน Panigale V4R ตัวแข่งในรายการ WorldSBK มาทำการปรับปรุงใหม่ด้วยการเลือกใช้วัสดุที่มีน้ำหนักเบาเป็นพิเศษ ซึ่งส่งผลให้ Ducati Superlegera V4 เป็นรถที่ใช้ชิ้นส่วนคาร์บอน ทั้งเฟรม แฟร์ริ่ง สวิงอาร์มและล้อ เพียงโมเดลเดียวที่สามารถจดทะเบียนและนำไปวิ่งบนท้องถนนได้อย่างถูกกฎหมาย
ขุมกำลังของ Ducati Superlegera V4 นั้นเป็นการนำเอาเครื่องยนต์ขนาด 998 ซีซี แบบ V4 ที่ติดตั้งอยู่ใน Panigale V4R ตัวท๊อปในตระกูล Panigale ที่ถูกนำไปใช้ในการแข่งขัน WorldSBK โดยมีการปรับจูนใหม่ให้ได้แรงม้าสูงสุด 224 แรงม้าบนน้ำหนักตัวแบบแห้งเพียง 159 กิโลกรัม เบากว่า Ducati Panigale V4 โมเดลแรกของทางค่ายในยุคปัจจุบันที่ใช้เครื่องยนต์แบบ V4 ถึง 16 กิโลกรัม ถึงแม้ว่าจะใช้บล็อกเครื่องยนต์เดียวกัน แต่เจ้าเครื่องยนต์ที่อยู่ใน Superlegera นั้นจะมีความแตกต่างกับที่ติดตั้งใน Panigale V4R ด้วยเพลงลูกเบี้ยวชนิดพิเศษที่มีน้ำหนักเบากว่า ระบบคลัทซ์แบบแห้ง ที่ช่วยลดน้ำหนักของเครื่องยนต์ลงไปได้อีก 2.8 กิโลกรัม นอกจากนั้นยังมีการกำหนด Desmo valve timing หรือช่วงเวลาในการทำงานของวาล์วใหม่ ส่งผลให้เครื่องยนต์สามารถผลิตแรงม้าได้สูงกว่า ตัวรถอัดแน่นด้วยฟีเจอร์เด่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเฟรม แฟร์ริ่ง สวิงอาร์ม และวงล้อ ที่ใช้วัสดุคาร์บอนที่ทนทานต่อแรงบิดสูง น้ำหนักเบา บวกกับเทคโนโลยีขั้นสุดของการขับขี่อย่าง Ducati EVO ที่มากันครบทั้ง Traction Control, Engine Brake Control,Wheelie Control, Cornering ABS, Quick Shifter
ในชุดสำหรับการแข่งขัน เมื่อเราถอดกระจกมองหลัง ที่ติดแผ่นป้ายทะเบียน สวมด้วยท้ายสั้นแบบ Racing ฝาครอบคลัทช์คาร์บอน ฝาครอบคาร์บอน พร้อมกับชุดท่อไอเสียไทเทเนียม Full System เข้าไปจะทำให้น้ำหนักตัวจาก 159 กิโลกรัม ลดลงเหลือเพียง 152.2 กิโลกรัม (แบบแห้ง) ซึ่งทำให้เจ้า Superlegera มีอัตราส่วนของพลังงานเมื่อเทียบกับน้ำหนักตัวแล้ว สูงกว่าจนแทบจะใกล้เคียงกับตัวแข่ง Desmosedici GP ในรายการ MotoGP เลยทีเดียว ซึ่งมีการเปรียบเทียบโดยนักแข่งทดสอบ Michele Pirro ที่ทดสอบขับขี่เจ้า Superlegera V4 ที่สนาม Mugello ในประเทศอิตาลี สามารถทำเวลาได้ดีที่สุด 1:52.45 วินาที ห่างจาก Panigale V4R ตัวสเปก WorldSBK เพียง 2 วินาทีเท่านั้น
นอกเหนือจากการลดน้ำหนักตัวโดยรวมด้วยการเลือกใช้วัสดุคาร์บอนในทุกๆ ส่วนเท่าที่จะสามารถทำได้นั้น การออกแบบ Aerodynamic เองก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้ Superlegera V4 นั้นเป็นที่สุดของรถในสาย Production ด้วยการออกแบบ Winglet ที่กว้างกว่า Panigale V4R ใช้แรงบันดาลใจที่ถอดแบบมาจาก Desmosedici GP16 ซึ่งเป็นตัวแข่งรุ่นแรกที่ทางผู้ผลิตติดตั้ง Winglet ในจำนวนที่มากที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยเจ้าอุปกรณ์อากาศพลศาสตร์นี้จะช่วยสร้างแรงกดหรือ Down Force 50 KG เมื่อเราวิ่งทำความเร็วที่ 167.7 ไมล์ต่อชั่วโมง (269.8 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ซึ่งมันเพิ่มขึ้นถึง 67% เมื่อเทียบกับ Winglet ที่ติดตั้งบน Panigale V4R
แน่นอนว่าความพิเศษนี้จะถูกผลิตขึ้นในจำนวนที่จำกัดเพียง 500 คันเท่านั้น โดยมีการตั้งราคาอยู่ที่ 90,000 ปอนด์ หรือประมาณ 3,512,722 บาท โดยที่ผู้ซื้อแต่ล่ะคนจะได้รับสิทธิพิเศษในการได้ทดสอบขับขี่เจ้า Ducati Panigale V4Rs สเปกเดียวกับที่ใช้ในการแข่งขัน WorldSBK และจะมีผู้โชคดีอีก 30 คน ที่จะได้รับสิทธ์ในการขับขี่เจ้า MotoGP Desmosedici GP20 ตัวแข่งของทางค่ายในสนามอีกด้วย
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก www.bennetts.co.uk
Keattisak Ngamkham – Writer, automotive journalist with experience The whole motorcycle industry and the motorsport industry Expert in doing reviews of all types of motorcycles.