Banner Yamaha Grand Filano Hybrid Connected 2024 1150x250
Banner Yamaha Grand Filano Hybrid Connected 2024 400x300

Marco Simonceli แจ้งเกิดในสนาม จากไปในสนาม

สำหรับแฟนๆ มอเตอร์สปอร์ตแล้ว ชื่อของ Marco Simoncelli คงจะเป็นชื่อที่หลายๆ คนคุ้นเคย ในฐานะของนักบิดชาวอิตาเลี่ยนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วยทรงผมแอฟโฟร่ฟูฟ่อง และท่วงท่าในการขับขี่ที่เร้าใจ ซึ่งภาพติดตามที่เราได้เห็นกันนี้ถูกลืมเลือนหายไปตามช่วงเวลานับจากที่เจ้าตัวจากไป ในปี 2011

B6Emat.jpg

Marco Simoncelli เกิดเมื่อวันที่ 20 มกราคม 1987 ที่เมือง Cartolica แต่ไปเติบโตที่เมือง Coriano ประเทศอิตาลี หลังจากครอบครัวได้โยกย้ายถิ่นฐานไป โดยฉายาประจำตัวของ Marco Simoncelli ก็คือ “The Sic” จุดเริ่มต้นของ Simoncelli ในฐานะนักแข่งรถมอเตอร์ไซค์ เริ่มขึ้นเมื่อเค้าอายุได้ 9 ขวบ หลังจากชนะในรายการ The Italian Mininoto Championship รายการระดับประเทศในปี 1996 และชนะต่อเนื่องจนถึงปี 2000 เจ้าตัวขยับคลาสจาก 50 ซีซี ไปเป็น 125 ซีซี ในรายการที่ใหญ่ขึ้นในระดับยุโรป

B6EIxl.jpg

หลังจากโลดโผนในเวทียุโรปได้สองปี ฟอร์มอันโดดเด่นก็ไปเข้าตาทีมแข่งในระดับ 125 ซีซีใน World GP กับทีม Matteoni Racing โดยการจรดปากการเซ็นสัญญากับทีมเป็นเวลา 2 ปีของ “The SIC” นั้นคือการไปแทนที่การขาดหายไปของ Jaroslaw Hules นักบิดสัญชาติเช็กที่ประสบอุบัติเหตุบาดเจ็บพักยาวหลังจากการแข่งขันผ่านไปเพียง 7 สนาม โดย “The SIC” ได้เลือกใช้หมายเลข 37 ลงทำการแข่งขัน และมีเพื่อนร่วมทีมที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี Chaz Davies นักบิดในเวที WSBK ในยุคปัจจุบัน

B6EMnk.jpg

ซึ่งในปี 2002 นั้นในคลาส 125 ซีซี มีดาวรุ่งที่น่าจับตามองกันหลายคนและที่เราคุ้นเคยเป็นอย่างดีก็ประกอบไปด้วย Dani Pedrosa, Andrea Dovizioso, Jorge Lorenzo, Chaz Davies รวมไปถึง Thomas Lutthi ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนแล้วอยู่ในเวทีใหญ่ทั้ง MotoGP และ WSBK ในปัจจุบันทั้งนั้น ซึ่งส่งผลให้ฤดูกาลแรกที่ “The Sic” ที่เข้ามาทำการแข่งขันในระดับ 125 ซีซี ครั้งแรกนั้นสามารถเก็บไปได้เพียง 3 คะแนนจาก 6 สนามที่ลงแข่งขัน โดยสามารถจบการแข่งขันได้เพียง 3 สนามเท่านั้นจบฤดูกาลที่อันดับ 33 ถือว่าเป็นการลองผิดลองถูกของเจ้าตัวกับการแข่งขันระดับโลก

B6bz2R.jpg

ในปี 2003 Marco Simoncelli กลับมาแข่งใน 125 ซีซี อีกครั้งกับต้นสังกัดเดิม Matteoni Racing ซึ่งปีนี้เจ้าตัวเริ่มฉายแววการเป็นนักบิดแถวหน้าในระดั บ 125 ซีซี ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถเอาชนะได้ในสนาม แต่เจ้าตัวก็ชนะใจทีมแข่งของ Aprilia ด้วยการถูกขยายสัญญาออกไปอีก 2 ปี ด้วยผลงาน 15 สนาม 31 คะแนน จบฤดูกาลที่อันดับ 21 โดยในปีนั้น Dani Pedrosa คว้าแชมป์ 125 ซีซี ไปครองสำเร็จ ซึ่งในปี 2004 Marco Simoncelli ได้ถูกย้ายไปยังทีมโรงงานของ Aprilia กับสังกัด Rauch Bravo ซึ่งเจ้าตัวลงทำการแข่งขันทั้งสิ้น 14 สนาม the SIC. ได้ฉลองชัยชนะแรกที่สนาม Jerez ซึ่งเป็นสนามที่สองประจำฤดูกาล โดยสนามที่ 14 ที่เซปังประเทศมาเลเชีย เจ้าตัวประสบอุบัติเหตุจนไม่สามารถลงแข่งขันในอีก 2 สนามที่เหลือได้ จบฤดูกาลด้วยคะแนน 79 คะแนน รั้งอันดับ 11ในฤดูกาลนั้น

B6OdWv.jpg

ต่อมาในปี 2005 ปีสุดท้ายในคลาส 125 ซีซี ของเจ้าตัวกับทีม Nocable.it Race ที่ยังคงใช้รถ Aprilia RS125 ลงทำการแข่งขันเช่นเดิม โดยฤดูกาลนี้นับว่าเป็นฤดูกาลที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเจ้าตัวในคลาส 125 ซีซี ด้วยการชนะที่สนาม Jerez เป็นครั้งที่สองติดต่อกัน และได้ขึ้นไปฉลองบนโพเดียมถึง 6 ครั้ง เก็บคะแนนไปได้ 177 คะแนน โดยแชมป์ในปีนั้นก็คือ Thomas Lutthi  และในปี 2006 การขยับขึ้นมาสู่คลาส 250 ซีซี ก็เกิดขึ้น กับการย้ายสังกัดไปอยู่กับทีม ทีม Metis Gilera  ทีมจากประเทศอิตาเลี่ยนที่ใช้รถ Gilera RSW 250  เทียบเท่ากับ Aprilia RSV250  ที่ใช้แข่งในระดับเดียวกัน ซึ่งถือว่าในฤดูกาลนี้เป็นฤดูกาลที่ยากลำบากของ “The SiC” เป็นอย่างมาก เพราะบรรดานักแข่งที่เลื่อนคลาสจาก 125 ซีซี ทั้งก่อนหน้าและพร้อมๆ กับเจ้าตัวนั้นเป็นกระดูกชิ้นโตที่เจ้าตัวต้องข้ามมันไปให้ได้ ไม่ว่าจะเป็น Jorge Lorenzo, Andrea Dovizioso, Hector Barbera และ Hiroshi Aoyama นักบิดญี่ปุ่น ซึ่งในฤดูกาลนี้ Marco Simoncelli จบฤดูกาลด้วย 92 คะแนน ไม่ชนะ ไม่มีโพเดียม จาก 16 สนามที่ลงทำการแข่งขัน เหตุการณ์นี้เกิดซ้ำอีกครั้งในปีต่อมา 2007 กับการสังกัดทีมเดิมหลังผ่านไป 17 สนาม เจ้าตัวจบที่อันดับที่ 10 อีกครั้งโดยไม่ชนะและไม่มีโพเดียมเหมือนเดิม ซึ่งมาถึงตรงนี้หลายๆ คนคิดว่าโอกาสในการก้าวขึ้นไปสีระดับพรีเมียร์ในคลาส 500 ซีซี (ภายหลังเปลี่ยนมาเป็น MotoGP) มีโอกาสที่ริบหรี่เหลือเกิน

B6bhvI.jpg

แต่แล้วในปี 2008 ฤดูกาลที่สามของเจ้าตัวในระดับ 250 ซีซี ก็ถึงจุดเปลี่ยนผัน เมื่อบรรดากระดูกชิ้นโตทั้งหลายได้เลื่อนขั้นไปสู่ระดับ MotoGP ไม่ว่าจะเป็น Jorge Lorenzo แชมป์โลก 250 ซีซี ปีก่อน Andrea Dovizioso นักบิดอิตาเลี่ยน ซึ่งในฤดูกาลนี้ “The SIC” ได้ฉายแสงอย่างเต็มที่ หลังจากสองสนามแรกที่ การตาร์และเปน เจ้าตัวไม่จบการแข่งขัน แต่ก็กลับมาได้ที่สนามที่สาม ประเทศโปรตุเกส ด้วยการคว้าอันดับที่ 2 ตามหลัง Alvaro Bautista ผู้ชนะสนามนั้นไปเพียงไม่ถึง 1 วินาที สร้างความมั่นใจให้กับเจ้าตัวและทีมงาน แต่ในสนามต่อมาที่ประเทศจีน เจ้าตัวทำได้ดีที่สุดที่อันดับ 4 เท่านั้น แต่ในอีก 13 สนามที่เหลือ เจ้าตัวเกาะโพเดียมไปได้ถึง 11 สนาม และสามารถชนะได้ถึง  6 สนามจาก 11 สนามนั้นขาดเพียงสนาม Misano World เท่านั้นที่เจ้าตัวจบที่อันดับที่ 6 และสนาม Indianapolis ที่ยกเลิกการแข่งขันหลังจากพายุเข้าอย่างหนัก ทำให้เจ้าตัวมีคะแนนสะสมที่ 281 คะแนนคว้าแชมป์โลก 250 ซีซี ไปครองได้สำเร็จ ซึ่งในปีต่อมา 2009  เข้าตัวก็เลือกที่จะไม่เลื่อนขึ้นไปในระดับ MotoGP แต่ขออยู่เตรียมความพร้อมให้กับตัวเองต่อไปในระดับ 250 ซีซี โดยในฤดูกาล 2009 นั้นเจ้าตัวสามารถจบฤดูกาลที่อันดับที่ 3 ชนะไป 6 สนาม กับอีก 10 โพเดียม 231 คะแนน ซึ่งแชมป์โลกในฤดูกาลนั้นก็คือ Hiroshi Aoyama นักบิดญี่ปุ่นของ Honda ที่นับว่าเป็นแชมป์โลกคนสุดท้ายก่อนเปลี่ยนคลาสจาก 250 ซีซี มาใช้เครื่องยนต์ 4 จังหวะใน Moto2 จนถึงปัจจุบัน

B6OSeV.jpg

ในปี 2010 Marco Simoncelli ขึ้นมาสู่ระดับ MotoGP เป็นฤดูกาลแรกกับสังกัดใหม่ Honda กับทีม  San Carlo Honda Gresini Team  ทีมแข่งสัญชาติอิตาเลี่ยน โดยได้เพื่อนร่วมทีมที่เคยต่อสู้กันมาในระดับ 125 ซีซี อย่าง Marco Melandri มาเป็นคู่หู โดยฤดูกาลแรกของเจ้าตัวนั้น ค่อนข้างเป็นไปได้สวยถึงแม้ว่าจะไม่ชนะสนามไหนเลย อันดับที่ดีที่สุดคือ อันดับที่ 4 ที่ประเทศโปรตุเกส เก็บไปได้ 125 คะแนนและจบที่อันดับที่ 8 ที่ถือว่าสูงกว่าเพื่อนร่วมทีมอย่าง Marco Melandri ที่มีประสบการณ์ในระดับ MotoGP มาก่อนถึง 2 ปี ทำให้ฤดูกาล 2011 “The SIC” จะถูกจับตามองมากเป็นพิเศษ

B6O0KE.jpg

ในฤดูกาล 2011 Marco Simoncelli ยังคงอยู่กับทีมเดิมในระดับ MotoGP  และคงไม่มีใครคิดว่าฤดูกาลนี้จะเป็นฤดูกาลสุดท้ายของเจ้าตัวในฐานนักแข่งระดับ MotoP หลังจากผ่านไป 16 สนามการแข่งขัน Marco Simoncelli เก็บไปได้ 2 โพเดียมจากสาธารณรัฐเช็กและออสเตรเลีย  ซึ่งก่อนหน้านี้ที่สนาม Le Man ประเทศฝรั่งเศสเจ้าตัวสามารถเข้าเส้นชัยด้วยอันดับที่หนึ่งได้ แต่ก็โดนริบรางวัลหลังจากเป็นสาเหตุหลักทำให้ Dani Pedrosa ต้องล้มก่อนเข้าเส้นชัยจนกระดูกไหปลาร้าหัก และพลสาดการแข่งขันไปถึง 3 สนาม ซึ่งพฤติกรรมที่ก้าวร้าวรุนแรงนี้ทำให้เกิดกติกาการลงโทษที่เข้มข้นมากขึ้นและจากเหตุการณ์นี้ Marco Simoncelli ก็ตกเป็นจำเลยสังคม โดนทุกๆ คนรุมประณามถึงพฤติกรรมอันรุนแรงในสนามการแข่งขัน และโดนคาดโทษจาก FIM ไปไม่น้อย และที่พีคที่สุดก็คือสนามต่อมาการแข่งขันดันไปจัดที่ Barcelona ประเทศสเปน ซึ่งการไปเยือนประเทศที่เป็นบ้านเกิดของคู่กรณีนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ทางทีม ต้องจ้างบอดี้การ์ดเพิ่มเป็นจำนวนมาก หลังจาก Simoncelli ได้รับจดหมายขู่ฆ่าจากแฟนๆ ชาวสเปนและทั่วโลก และพักในพีคก็คือรอบ Qualify เจ้าตัวดันทำได้ดีที่สุดคว้า Pole Position ของสนามไปครองได้อีก ทำให้เจ้าตัวตกเป็นเป้าของกลุ่มแฟนรถแข่งสายฮาร์ดคอร์ที่รุมโห่ และไม่ยินดีที่จะต้อนรับเจ้าตัวมากเท่าไหร่นัก พอมาถึงจังหวะของการแข้งขันในรอบสุดท้าย เจ้าตัวทำได้ดีที่สุดที่อันดับที่ 6 หลังจากโดนหลายๆส่วนรุมโจมตี ทั้งบรรดานักแข่งที่ไม่พอใจการกระทำของ Marco มากนัก

B6O7PN.jpg

หลังจากนั้นมาถึงสนามที่ 17 ที่ประเทศมาเลเชีย สนามเดียวกับที่เจ้าตัวคว้าแชมป์โลก 250 ซีซี เมื่อปี 2008 และคงไม่มีใครคิดว่าสนามแห่งนี้จะพรากชีวิตของ Marco Simoncelli จากพวกเราไป ด้วยความดุดันและการลงทำการแข่งขันอย่างก้าวร้าว และหมายจะเอาชนะทุกคน  ถึงแม้การแข่งขันในสนามนี้จะไม่มีผลต่อการไล่ล่าแชมป์ของเจ้าตัว หลังจาก Casey Stonner เก็บชัยชนะได้ที่ Phillip Island เอาแชมป์โลกปี 2011 มาครองได้แล้ว แต่ความมุ่งมั่นของ Marco Simoncelli ก็ไม่ลดลง เจ้าตัวยังคงควบตะบึงเจ้า Honda RC212V ทะยานไปข้างหน้าพยายามแซงทุกคันที่ขวางหน้า หลังจากผ่านไปได้ไม่กี่รอบสนาม จังหวะนั้น Simoncelli อยู่ในอันดับที่ 5 พยายามที่จะแซง Alvaro Buatista แต่เสียการควบคุมในทางโค้งรถไถลเข้าไปกลางแทร็กจังหวะพอดีกับ Valentino Rossi และ Colin Edward กำลังไล่ขึ้นมาด้วยความเร็วสูง ผลปรากฏว่า Simoncelli ชนเข้ากับรถของ Colin Edward รถของ Valentino Rossi อย่างรุนแรง จนทำให้หมวกกันน็อคของเขาหลุดออกมา ก่อนที่จะถูกมอเตอร์ไซค์ทั้ง 2 คันดังกล่าวพุ่งเข้าชนแบบเต็มๆ จนทำให้รถของเขาแหลกเป็นชิ้นๆ ในขณะที่ร่างของเขาแน่นิ่งไม่ไหวติงใดๆ และเสียชีวิตในเวลาต่อมาในขณะที่เจ้าหน้าที่สนามพยายามพาตัวไปยังโรงพยาบาลเพื่อทำการรักษา แต่ก็ไม่ทันที่จะยื้อชีวิตนักบิดอนาคตไกลคนนี้ได้ ทางแพทย์ผู้รักษาได้ชี้แจ้งว่า Simoncelli ได้รับบาดเจ็บสาหัสบริเวณศีรษะ คอ และหน้าอก Simoncelli เสียชีวิตด้วยวัยเพียง 24 ปี

B6EFze.jpg

เหตุการณ์นี้ทำให้การแข่งขันต้องยกเลิกในทันที หลังจากการประกาศเสียชีวิตของ Marco Simoncelli บรรดานักบิดที่เคยมีเรื่องมีราวกับเค้าไม่ว่าจะเป็น Dani Pedrosa, Jorge Lorenzo และเพื่อนซี้ต่างวัย Valentino Rossi ต่างก็เศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมาก รวมไปถึงบรรดาแฟนมอเตอร์สปอร์ตสายฮาร์ดคอร์ทั้งหลายที่เคยขู่ฆ่า รุมด่าและโห่เค้าในสนามแข่งขัน ต้องลุกขึ้นเพื่อแสดงความไว้อาลัยอย่างยิ่งใหญ่ที่สนาม Valencia ประเทศสเปน ใน 2 อาทิตย์ถัดมา และชื่อของ Marco Simoncelli ก็ถูกจารึกในประวัติศาสตร์ MotoGP ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

B6bBTu.jpg

เรื่องจริงที่คุณอาจไม่เคยรู้กับ Marco Simoncelli

  • ในปี 2000 ครอบครัว Simoncelli ได้ใช้เงินเก็บทั้งหมดที่มีและบ้านที่ Coriano เป็นทุนสำหรับการส่ง Marco ไปแข่งในยุโรป
  • บ้านเกิดของเจ้าตัว ในเมือง Coriano อยู่ห่างจากบ้านของ Valentino Rossi ไม่ถึง 10 กิโลเมตร ทำให้ทั้งคู่เป็นเพื่อนกันทั้งในสนามแข่งและนอกสนามแข่ง
  • ในวันที่เกิดอุบัติเหตุ การแข่งขันฟุตบอลอาชีพทุกระดับในประเทศอิตาลี จะมีการยืนไว้อาลัย 1 นาที เพื่อให้เกียรติ Simoncelli เป็นครั้งสุดท้าย
  • การไว้อาลัย Marco Simoncelli ที่สนาม Valencia มีนักแข่งทั้งในอดีตและปัจจุบันเข้าร่วม Tribute ขับขี่ไปรอบสนามกว่า 80 คัน นำโดยแชมป์โลก 500 ซีซี Kevin Schwantz ไอดอลของ Simoncelli ในวัยเด็ก
  • ในวันที่ 20 มกราคม ปี 2012 สภาเมือง Coriano ได้ประกาศเปลี่ยนชื่อพื้นที่ส่วนกลางของเมืองให้เป็นเกียรติแก่เจ้าตัวโดยใช้ชื่อ “Palazzetto dello Sport Marco Simoncelli”
  • ในปี 2013 สโมสร AC Milan ทีมฟุตบอลอาชีพแถวหน้าของยุโรป ประกาศยกเลิกเสื้อหมายเลข 58 ของสโมสรเพื่อให้เกียรติให้กับ Marco Simoncelli ในฐานะแฟนบอลของทีม

B6bZFE.jpg

นับว่าเป็นที่น่าเสียดายอย่างมาก สำหรับการจากไปของ Marco Simoncelli ยอดนักบิดฝีมือดี ที่ควรจะได้โชว์ผลงานและลีลาการขับขี่อันเป็นเอกลักษณ์ให้ยาวนานกว่านี้ และแน่นอนว่าตัวของเขาเองนั้นมีโอกาสไม่น้อย ที่จะประสบความสำเร็จอย่างสูงในระดับ MotoGP หากว่ายังแข่งขันอยู่

Credit : www.motogp.com www.visordown.com