เผยสเปก Bimota KB4 หลังยื่นเอกสารขออนุมัติประเภทอย่างเป็นทางการ
นับว่าสร้างกระแสได้เป็นอย่างดีกับการกลับมาอีกครั้งของแบรนด์ดัง Bimota ที่งาน EICMA Show 2019 ที่ผ่านมา ทางบริษัทได้ประกาศความร่วมมือกับผู้ผลิตยักษ์ใหญ่สัญชาติญี่ปุ่น Kawasaki ในการพลิกฟื้นแบรนด์ให้กลับมาบนเวทีมอเตอร์ไซค์โลกอีกครั้ง พร้อมกับเปิดตัว Bimota Tesi H2 ที่ได้หยิบยืมเครื่องยนต์ ซุปเปอร์ชาร์จจาก Kawasaki Ninja H2 มาใช้งานบนโครงสร้างที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของทางค่าย พร้อมกับการเปิดตัวโมเดลต้นแบบ Bimota KB4 รุ่นใหม่ที่สร้างความตื่นเต้นให้กับเราเป็นอย่างมาก
ล่าสุด Bimota ได้มีการยื่นเอกสารขออนุมัติประเภทสำหรับการจำหน่ายเจ้า KB4 ต่อสหภาพยุโรปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และก็มีการเปิดเผยข้อมูลสเปกของตัวรถบางส่วนออกมาพร้อมกัน ซึ่งเราก็ได้นำมันมาบอกเล่าให้เพื่อนได้ทราบกันในข่าวนี้
โดยการใช้รหัสประจำตัว KB4 นั้นเป็นเหมือนกับธรรมเนียมปฎิบัติที่ Bimopta มักจะทำมาเสมอๆ ไม่ว่าจะเป็นการหยิบยืมเครื่องยนต์จากแบรนด์ใดมา โดย KB นั้นจะย่อมาจาก Kawasaki Bimota ซึ่งเหมือนกับชื่อรุ่นต่างๆ ของแบรนด์อย่าง HB ที่เป็นการยืมเครื่องยนต์มาจาก Honda รหัส SB จากเครื่องยนต์ของ Suzuki รวมไปถึง DB BB YB ก็ล้วนเป็นการนำเอาเครื่องยนต์ของ Ducati BMW และ Yamaha มาใช้บนผลิตภัณฑ์ของตนเอง โดย KB4 นั้นจะเป็นการนำเสนอโมเดลต่อจาก KB1 ในปี 1978 KB2 Laser ในปี 1987 KB2 TT ในปี 1983 รุ่นสุดท้ายที่ใช้เครื่องยนต์ Kawasaki กับเจ้า KB3 ในปี 1983 และล่าสุดกับ KB4 ในปี 2022 ที่กำลังจะมาถึง
เราพอจะทราบกันว่า KB4 รุ่นใหม่นั้นจะเป็นการนำเอาเครื่องยนต์ขนาด 1,043 ซีซี แบบสี่ลูกสูบเรียงมาจาก Kawasaki Ninja 1000 SX มาใช้งาน แต่มีการจัดการระบบไอเสียที่พัฒนาโดยทางบริษัทเอง โดยที่ระบบใหม่นี้ไม่มีส่วนในการเพิ่มกำลังเครื่องยนต์หรือแรงบิด แต่อย่างใด โดยเครื่องยนต์ยังคงให้กำลังสูงสุดเท่ากับ Ninja 1000 SX ที่สามารถทำได้ 140 แรงม้า (HP) ที่ 10,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 82 Ib-FT ที่8,000 รอบต่อนาที ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับรถมอเตอร์ไซค์ในคลาสเดียวกันแล้วดูเหมือนว่า KB4 จะด้อยกว่า แต่ก็สามารถหักล้างได้ด้วยคุณสมบัติบางอย่างที่เราค่อนข้างตื่นเต้นกับมัน
ความตื่นเต้นที่เราค่อนข้างจะให้ความสนใจบนตัว KB4 นั้นก็คือเรื่องของน้ำหนักตัว เพราะเจ้า KB4 ได้หยิบยืมเครื่องยนต์มาจาก Kawasaki แต่โครงสร้าง ต่างๆ บนตัวรถนั้น เป็นสิ่งใหม่ทั้งหมด ตัวรถใช้ส่วนเฟรมหน้าเหล็กท่อ ประกอบกับส่วนเดือยสวิงอาร์มอัลลอยและซับเฟรมเบาะที่นั่งคาร์บอนไฟเบอร์ และเบากว่า Ninja 1000SX โดยในเอกสารล่าสุดได้ระบุว่าตัวรถ KB4 จะมีน้ำหนักตัวแบบของเหลวเต็มถังที่ 194 กิโลกรัม ซึ่งเบากว่า Ninja 1000 SX ที่มีของเหลวเต็มถังถึง 41 กิโลกรัม มันทำให้เราอนุมานได้ในทันทีว่าเจ้า KB4 นั้นจะมีประสิทธิภาพสูงกว่า Ninja 1000 SX อย่างเห็นได้ชัด
ถึงแม้ว่าเอกสารได้ระบุว่าตัวรถ KB4 จะมีขีดจำกัดความเร็วสูงสุดที่ 155 ไมล์ต่อชั่วโมง (ประมาณ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) เท่ากับที่ Ninja 1000 SX ทำได้ แต่เราสามารถบอกได้เลยว่าเจ้า KB4 นั้นจะสามารถแตะระดับความเร็วสูงสุดได้เร็วกว่า 1000 SX อย่างแน่นอน แต่อย่างไรก็ดีมันก็ดูจะไม่เหมาะสมกับสนามการแข่งขันอยู่ดี หากจะเข้าสู่เวที WorldSBK เพราะด้วยข้อบังคับด้านความจุเครื่องยนต์ และประสิทธิภาพที่เสียเปรียบคู่แข่ง
ไม่เพียงแต่การเปลี่ยนชุดโครงสร้างและระบบไอเสีย Bimota ยังมีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของหม้อน้ำในระบบระบายความร้อน จากการสังเกตุภาพถ่ายจากการทดสอบหลายๆ ครั้ง ดูเหมือนจะแสดงให้เห็นว่าเครื่องยนต์อยู่จะถูกพลักให้อยู่ในตำแหน่งที่อยู่ด้านหน้ามากกว่าปกติ เมื่อรวมกับช่องรับอากาศขนาดใหญ่ทั้งสองด้านของแฟริ่งและสิ่งที่ดูเหมือนเป็นท่อคาร์บอนไฟเบอร์ที่วิ่งจากส่วนหน้าตรงไปยังส่วนท้ายของตัวรถ ซึ่งหมายถึงหม้อน้ำถูกย้ายจากจุดปกติระหว่างเครื่องยนต์และล้อหน้าไปที่ ตำแหน่งใหม่ใต้เบาะที่นั่ง ซึ่งหมายความว่าสามารถเคลื่อนเครื่องยนต์เข้าไปใกล้กับล้อหน้ามากขึ้น ทำให้มีการกระจายน้ำหนักที่เทไปด้านหน้ามากกว่า ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการออกแบบสวิงอาร์มคู่หน้า ที่ใช้งานร่วมกับระบบ Hub-Steerring ในขณะเดียวกันก็ลดระยะฐานล้อจากเดิมของเจ้า 1000 SX ที่มีระยะ 1,440 มิลลิเมตร ลงมาเหลือ 1,390 มิลลิเมตร ซึ่งมันส่งผลต่อระยะวงเลี้ยวของตัวรถอย่างชัดเจน
กลับมาที่หม้อน้ำใต้เบาะนั่งกันสักหน่อย เพราะโดยข้อเท็จจริงแล้วมันเป็นเพียงแต่สมมุติฐานเท่านั้น ทางผู้ผลิตยังไม่มีข้อมูลอย่างเป็นทางการในเรื่องนี้ อีกทั้งเรายังไม่ได้เปิดแฟร์ริ่งตัวรถเพื่อจะชี้ให้ชัดเจนว่าหม้อน้ำมันอยู่ใต้เบาะที่นั่งจริงหรือไม่ แต่ถ้าให้เราคาดเดาแล้ว Bimota อาจจะไม่ได้ใช้แนวทางการแก้ไขปัญหาเหมือนกับ Benelli Tornado RS900 รถมอเตอร์ไซค์รุ่นสุดท้ายที่ใช้งานหม้อน้ำใต้เบาะนั่ง ซึ่งต้องใช้พื้นที่ขนาดใหญ่ในการติดตั้งพัดลมที่ส่วนท้าย และทำให้พื้นที่ของโครงสร้างส่วน Sub-Frame ใหญ่เกินความจำเป็น ซึ่งเราก็ต้องมารอดูกันว่า Bimota ใช้วิธีไหนในการแก้ไขปัญหาของเรื่องนี้
นอกจากโครงสร้างน้ำหนักเบา และเรื่องราวของระบบต่างๆ บนตัวรถ KB4 แล้ว Bimota ก็ได้เลือกใช้งานองค์ประกอบระดับพรีเมี่ยมมากมายบนตัวรถ ไม่ว่าจะเป็นระบบเบรกจาก Brembo ชุดระบบกันสะเทือนจาก Ohlins และมาพร้อมกับล้อฟอร์จขนาด 17 นิ้ว ที่สวมใส่ยางขนาด 120/70-17 และ 190/50-17 รูปแบบเดียวกับซุปเปอร์ไบค์ที่เราคุ้นเคยในตลาดปัจจุบัน
มาถึงจุดนี้ น่าจะมีคนสงสัยไม่น้อยสำหรับการวางตำแหน่งในการตลาดของเจ้า KB4 รุ่นใหม่ เพราะมันค่อนข้างจะมีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร เราจะไม่คาดหวังว่ามันจะเป็นรถมอเตอร์ไซค์ที่มีราคาที่เข้าถึงได้ง่าย และมันคงไม่ได้ฉีกแนวทางไปจาก Tesi H2 ที่มีราคาค่าตัวที่จัดว่าสูงกว่าเจ้า Ninja H2 ที่ยืมเครื่องยนต์มาหลายเท่า เช่นเดียวกับ KB4 ที่ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ยืมเครื่องยนต์ 200 แรงม้าจาก ZX-10R มาใช้งาน แต่ราคาของ KB4 น่าจะสูงกว่า ZX-10RR รุ่นลิมิเต็ดที่ใช้ในสนามแข่งเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นมันจึงไม่น่าจะเป็นยานพาหนะที่สามารถซื้อหาแบบเข้าถึงได้ง่าย โดยมีกำแพงในเรื่องของราคาและค่าของเทคโนโลยีที่จัดว่าสูง ซึ่งมันน่าจะถูกจัดให้เป็น Exotic Bike ที่มีกลุ่มใช้งานเฉพาะ และไม่ถูกจัดวางในการจำหน่ายแบบทั่วๆไปเช่นเดียวกับ Tesi H2 รุ่นก่อนหน้า
สำหรับการเปิดตัวนั้นคาดว่า Bimota จะใช้เวทีในงาน EICMA SHow 2021 นี้เป็นเวทีสำหรับเปิดตัวรถรุ่นใหม่นี้ ซึ่งมีแนวโน้มว่า Bimota จะใช้หลักการเดียวกับปี 2019 ด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ 1 โมเดล และนำเสนอรถแนวคิดหรือต้นแบบอีกอย่างน้อย 1 โมเดล ซึ่งคาดกันว่าคราวนี้ Bimota จะใช้งานรถมอเตอร์ไซค์ในแนวทางของ Naked Sport บ้าง ซึ่งเราก็ต้องมารอดูกันว่างานนี้ Bimota จะสร้างกระแสและความน่าสนใจอะไรเพิ่มเติมให้กับเราได้บ้าง
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก www.bennetts.co.uk
Keattisak Ngamkham – Writer, automotive journalist with experience The whole motorcycle industry and the motorsport industry Expert in doing reviews of all types of motorcycles.