เจาะลึกรายละเอียดของ 2022 Bimota KB4 และ KB4RC
ก่อนอื่นเลยต้องอธิบายให้เพื่อนได้เข้าใจกันแบบง่ายก่อนว่า Bimota KB4 นั้นจะจัดเป็นรถมอเตอร์ไซค์ในรูปแบบของสปอร์ตแบบกึ่งเปลือย ที่จะไม่มีแฟร์ริ่งส่วนหน้า ชิลด์หน้า หรือแผ่นปิดด้านข้างเครื่องยนต์แต่อย่างใด ส่วนเจ้า KB4RC นั้นจะมาในรูปแบบของสปอร์ตฟูลแฟร์ริ่งเต็มรูปแบบ ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากรถแข่งในช่วงยุค 80’s จึงทำให้ดูมีความคลาสสิกแต่แฝงไปด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากมาย
2022 Bimota KB4
2022 Bimota KB4RC
แน่นอนว่าสาวกของ Bimota น่าจะรู้กันดีเมื่อตัวโมเดลขึ้นต้นรหัสด้วยตัวอักษรใด ทาง Bimota จะเป็นการให้เกียรติกับต้นทางที่ทางบริษัทได้หยิบยืมเครื่องยนต์มาใช้งาน โดยเจ้า KB4 และ LB4RC นั้นจะเป็นการนำเอาเครื่องยนต์ 1,047 ซีซี 4 ลูกสูบเรียง 4 จังหวะ มาจากแบรนด์ Kawasaki ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ที่ยังใช้อยู่ในปัจจุบันในโมเดลอย่าง Kawasaki Ninja 1000 SX แต่ไม่ใช่ว่าทาง Bimota เองจะหยิบเอามาทั้งคันแล้วมาแปะตราสัญลักษณ์เพื่อทำการจำหน่ายแต่อย่างใด โดยทาง Bimota มีการพัฒนาโครงสร้างขึ้นมาใหม่เพื่อให้เหมาะสมกับแนวทางของตัวรถ ซึ่งจะเห็นได้ชัดว่า Bimota KB4 และ KB4RC จะมีระยะฐานล้อที่สั้นกว่า Ninja 1000 SX ไปประมาณหนึ่ง โดยระยะฐานล้อของ Bimota ทั้งสองรุ่นนั้นจะมีระยะที่ 54.7 นิ้ว ซึ่งจะสั้นกว่า Ninja 1000 SX ที่มีระยะฐานล้อที่ 56.7 นิ้ว ซึ่งระยะฐานล้อที่สั้นกว่า 2 นิ้วนี้ชี้ให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าตัวรถนั้นจะมีความคล่องแคล่วที่มากกว่า แต่น่าจะถูกลดทอนในเรื่องของความเร็วในช่วงทางตรงไปพอสมควร
ถ้ามองในเรื่องของกำลังแล้ว Ninja 1000 SX จะมีกำลังสูงสุด 124 แรงม้า (HP) พร้อมกับแรงบิด 75 ib-ft ซึ่งทาง Bimota เองก็ได้เปลี่ยนเครื่องยนต์สำหรับการใช้งานในเชิงท่องเที่ยวให้กลายเป็นรถแข่งที่เน้นกำลังสูงด้วยการปรับเปลี่ยนระบบภายในทั้งการจุดระเบิด ระบบไอเสีย และอื่นๆ ทำให้เครื่องยนต์ที่ติดตั้งบน KB4 และ KB4RC มีกำลังสูงสุดที่เพิ่มขึ้นเป็น 142 แรงม้า (HP) ที่ 10,000 รอบต่อนาที พร้อมกับแรงบิดสูงสุด 81.9 ib-ft ที่ 8,000 รอบต่อนาที และด้วยโครงสร้างแบบใหม่ Hi-resistance steel with Aluminum alloy plates billet machined ช่วยให้ตัวรถมีน้ำหนักที่เบากว่า Ninja 1000 SX ที่มีน้ำหนักตัวแบบพร้อมขี่ 517 ปอนด์ (234.5 กิโลกรัม) ลดลงมาเหลือเพียง 412 ปอนด์ (186.8 กิโลกรัม) ซึ่งทางผู้ผลิตได้ระบุไว้ว่า น้ำหนักตัวที่กล่าวนี้จะเป็นน้ำหนักตัวแบบไม่รวมของเหลว แต่ถึงจะรวมของเหลวเต็มถังน้ำมันที่มีความจุ 19 ลิตร และของเหลวในระบบระบายความร้อน ตัวรถก็น่าจะมีน้ำหนักตัวที่ไม่มากไปกว่า Ninja 1000 SX อย่างแน่นอน และเมื่อเทียบกับอัตราส่วนของแรงม้าต่อน้ำหนักที่แตกต่างกัน ก็ชัดเจนว่าเจ้า KB4 และ KB4RC น่าจะเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัดแบบไม่ต้องสงสัย
มาดูกันต่อที่รายละเอียดบนตัวรถกันสักหน่อย น่าเสียดายที่ Bimota KB4 และ KB4RC ไม่ได้นำเอาเทคโนโลยีการบังคับเลี้ยวแบบ Hub-Steerring ที่เป็นจุดเด่นของทางแบรนด์มาใช้งาน เหมือนกับ Tesi H2 ที่เปิดตัวไปเมื่อปี 2019 แต่ถึงจะอย่างไรก็เชื่อได้ว่าบรรดาสาวกหรือกลุ่มแฟนคลับหน้าใหม่น่าจะพอใจกับสิ่งนี้ เพราะโดยส่วนหนึ่ง การไม่ใช้งานระบบนี้บนตัวรถนั้นจะทำให้ตัวรถมีราคาต้นทุนที่ไม่สูงมาก ทำให้เข้าถึงได้ง่ายกว่า และน่าจะเป็นอะไรที่สร้างแรงสนับสนุนให้คนทั่วไปมองว่า Bimota ไม่ได้เป็นแบรนด์ที่เอะอะอะไรก็จะยัดความเป็นตัวของตัวเองลงไปในผลิตภัณฑ์ ซึ่งการที่ Bimota เลือกใช้งานระบบกันสะเทือนหน้าหลังแบบปกตินี้ ก็ยังคงมีความพิเศษอยู่เล็กน้อย เพราะทางผู้ผลิตเองได้เลือกใช้อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงอย่าง Öhlins FG R&T 43 NIX30 ขนาด 43 นิ้ว แบบหัวกลับ ที่ได้มาตรฐานจากทีมแข่งทั่วโลก อีกทั้งยังมีประสิทธิภาพที่ครอบคลุมการใช้งานทั้งในสนามแข่ง และการใช้งานในชีวิตจริง พร้อมกับโช้คอัพหลังเดี่ยว Öhlins ttX 36 ที่เป็นสเปกเทพ จัดเต็มจากโรงงาน
เช่นเดียวกับระบบเบรก Bimota จัดเต็มด้วยชุดระบบเบรกจากแบรนด์ระดับโลกอย่าง Brembo ทั้งหน้าและหลัง โดยส่วนหน้าจะมาพร้อมกับจานดิสก์เบรกหน้าคู่ขนาด 320 มิลลิเมตร คาลิปเปอร์เบรก 4 พอร์ต ส่วนด้านหลัง จะเป็นจานดิสก์เดี่ยวขนาด 220 มิลลิเมตร คาลิปเปอร์เบรก 1 สูบ พร้อมระบบเบรก ABS ที่มีคุณสมบัติในการเปิดหรือปิดการทำงานได้อย่างอิสระ ใครจะเลือกเปิดเฉพาะล้อหน้าก็สามารถทำได้ เช่นเดียวกับขอบล้อแบบขึ้นรูปชิ้นเดียวขนาด 17 นิ้วทั้งหน้าและหลัง ในรูปแบบ 5 ก้าน น้ำหนักเบาเป็นพิเศษสวมด้วยยาง Pirelli SC ขนาด 120 / 70Z R17 และ 190/50ZR17
มิติตัวรถนั้น จะมีความยาว 2,022 มิลิเมตร ความกว้าง 765 มิลลิเมตร ความสูงโดยรวม 1,166 มิลลิเมตร ความสูงเบาะนั่ง 810 มิลลิเมตร และสามารถปรับเพิ่มหรือลดได้อีก 7.6 มิลลิเมตร ระยะห่างจากท้องเครื่องยนต์ถึงพื้น 140 มิลลิเมตร และมีน้ำหนักตัวแบบแห้งที่โคตรเบาเพียง 186.8 กิโลกรัม ซึ่งจัดว่าเป็นรถ Production ในพิกัดซุปเปอร์ไบค์ที่เบาเป็นอันดับต้นๆ เลยก็ว่าได้
สำหรับการจำหน่ายจริงนั้น ทางผู้ผลิตยังไม่มีการกำหนดวันและเวลาในการจำหน่ายอย่างชัดเจน โดยจะมีการประกาศอย่างเป็นทางการในภายหลังคาดว่าไม่น่าเกินครึ่งหลังของปี 2022 เราน่าจะทราบราคาและวันจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ส่วนเพื่อนๆ ที่กำลังสนใจเจ้าโมเดลสุดเฟี้ยวคันนี้ คงต้องพึ่งพาผู้นำเข้าอิสระจากต่างประเทศ เพราะคาดว่าคงไม่มีการนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยผ่านตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ หรือผ่านโชว์รูมของ Kawasaki ที่เป็นพันธมิตรร่วมกันอย่างแน่นอน
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก www.motorcycle.com
Keattisak Ngamkham – Writer, automotive journalist with experience The whole motorcycle industry and the motorsport industry Expert in doing reviews of all types of motorcycles.