เจาะลึก Honda CB1000 Hornet 2024 เนกเกตสปอร์ตรุ่นใหญ่จากค่ายปีกนก
หลังจากเปิดตัวที่งาน EICMA 2023 ที่ผ่านมา Honda CB1000 Hornet ก็ได้กลายเป็นอีกหนึ่งผลิตผลจากการพัฒนาครั้งใหม่ของค่ายปีกนก ที่มีหลายๆ คนให้ความสนใจกันเป็นจำนวนมาก และครั้งนี้เราจะขอพาเพื่อนๆ ไปเจาะลึกถึงรายละเอียดและความน่าสนใจของตัวรถรุ่นใหม่นี้กัน
Honda CB1000 Hornet ถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะเข้ามารับบทบาทรถมอเตอร์ไซค์เนกเกตสปอร์ตแทนที่โมเดลก่อนหน้าอย่าง CB1000R “Neo Sports Cafe” โดยตัวรถนั้นจะเป็นงานออกแบบใหม่ทั้งหมด ซึ่งถึงจะเป็นโมเดลลำดับที่สองของซีรี่ส์ “Hornet” ต่อจาก CB750 Hornet แต่ตัวรถกลับมีสไตล์ที่แตกต่างออกไปอย่างชัดเจน โดยเฉพาะไฟหน้า ที่เป็นเหมือนกับภาพจำแรกของผลิตภัณฑ์ ที่จะมาพร้อมกับไฟหน้าคู่วางเอียง มีรูปทรงที่โฉบเฉี่ยวกว่า และถ่ายทอดอิทธิพลของความก้าวร้าว ดุดัน ออกมาได้อย่างชัดเจน
เช่นเดียวกับโครงสร้าง ที่เป็นงานออกแบบใหม่ทั้งหมด โดยใช้โครงสร้างแบบ Steel Twin-Spar Frame อีกทั้งยังมีส่วนของตัวถังที่ออกแบบใหม่ โดยจะเน้นไปที่สัดส่วนที่คมชัดกว่าเดิม รวมไปถึงส่วนท้ายที่มีการออกแบบเชิงเส้นตรงแหลม สวิงอาร์มหลังแบบ Pro Arm ถูกยกเลิก โดยมาพร้อมกับสวิงอาร์มหลังแบบคู่ที่ผลิตจากอลูมิเนียมออร์โธดอกซ์ โดยภาพรวมแล้ว ทางทีมงานออกแบบได้เปลี่ยนโฟกัสจากสไตล์คาเฟ่ก่อนหน้านี้มาเป็นสไตล์สตรีทไฟท์เตอร์ ซึ่งเป็นที่นิยมในยุโรป
ในขณะที่ขุมกำลังนั้น จะเป็นเครื่องยนต์รหัส SC77 ที่ประจำการบน CBR1000RR รุ่นปี 2017 โดยทางผู้ผลิตเองยังไม่มีการเปิดเผยถึงการเปลี่ยนแปลงกลไกของเครื่องยนต์ แต่ได้ระบุไว้ว่าตัวรถจะมีกำลังสูงสุด 150 แรงม้า (PS) ซึ่งมีกำลังที่มากกว่า CB1000R รุ่นก่อนหน้า 5 แรงม้า (PS) อีกทั้งยังไม่มีการประกาศข้อมูลในส่วนของน้ำหนักตัวรถ แต่เชื่อได้เลยว่า น้ำหนักตัวนั้น น่าจะเบากว่า CB1000R ที่มีน้ำหนักตัวแบบรวมของเหลวที่ 217 กิโลกรัม แน่นอน ซึ่งนั้นจะหมายความว่า อัตราส่วนกำลังต่อน้ำหนักจะต้องดีกว่า และจะสามารถสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงทันทีเมื่อได้ลองขับขี่
ในส่วนของอุปกรณ์บนตัวรถนั้น ระบบช่วงล่าง ด้านหน้าจะมาพร้อมกับโช้คอัพหัวกลับ Showa SFF-BP เส้นผ่านศูนย์กลาง 41 มิลลิเมตร พร้อมการปรับตั้งค่า compression และ rebound ด้านหลังจะเป็นโมโนโช้คที่สามารถปรับค่าได้ ระบบเบรก ด้านหน้าจะเป็นดิสก์คู่ขนาดประมาณ 320 มิลลิเมตร คาลิปเปอร์เบรกเป็นแบบ Radial Mount ขาก Nissin ส่วนด้านหลังจะเป็นดิสก์เดี่ยว พร้อมกับปั้มเบรก 1 พอร์ต ในขณะที่ขอบล้อจะเป็นอัลลอยด์ขนาด 17 นิ้ว ที่น่าสนใจคือ ยางหลังจะสวมด้วยยางขนาด 180/55ZR17 ซึ่งจะมีความกว้างที่น้อยกว่า CB1000R นั้นหมายความว่า การขับขี่น่าจะคล่องตัวมากกว่า
อุปกรณ์อื่นๆ นอกเหนือจากนี้ ตัวรถจะมาพร้อมกับระบบไฟ LED แบบโปรเจ็กเตอร์สองดวง และมีระบบไฟ DRLs แบบ LED ที่วางอยู่เหนือโคมไฟหน้าทั้งสองฝั่ง หน้าจอแสดงผลแบบสี TFT ขนาด 5 นิ้ว ระบบคันเร่งไฟฟ้า Thottle By Wire ที่มาพร้อมกับ 3 โหมดขับขี่มาตรฐาน และอีกอย่างน้อย 2 โหมดสำหรับผู้ใช้งาน ที่จะสามารถปรับตั้งค่าการทำงานของระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างเต็มที่
ในส่วนของระบบอิเล็กทรอนิกส์นั้น คาดว่าจะยกชุดมาจาก CBR1000RR โดยจะมีการปรับปรุงกลไกการทำงานใหม่ เพื่อให้เหมาะสมกับกำลังและรูปแบบของตัวรถที่เปลี่ยนไป โดยมีหัวใจหลักเป็นแกน IMU แบบ 5 แกน เป็นหัวใจหลักในการทำงานร่วมกับระบบมาตรฐานทั้ง Traction Control, Engine Brake Control, Launch Control, Wheelie Control,ABS และ Cornerring ABS โดยอาจจะมีการเสริมในส่วนของระบบใหม่อย่าง Cruise Control เพิ่มเติมเข้ามา
ยังไม่มีการประกาศราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการ รวมไปถึงวันเวลาในการจำหน่าย โดยสื่อคาดกันว่าตัวรถจะพร้อมในช่วงไตรมาสแรกของปี 2024 ที่กำลังจะมาถึงนี้ ส่วนตลาดหลักที่น่าจะมีการเน้นเป็นพิเศษก็คือตลาดยุโรป โดยจะเป็นคู่แข่งของ Ducati Streetfighter V4, Triumph Speed Triple 1200 RS, BMW S1000R รวมไปถึง Kawasaki Z1000 และ Z H2
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก www.autoby.jp
Keattisak Ngamkham – Writer, automotive journalist with experience The whole motorcycle industry and the motorsport industry Expert in doing reviews of all types of motorcycles.