สิทธิบัตรเครื่องยนต์ V4 จาก Honda กับเทคโนโลยี V2 Tech
ยังคงมีข่าวคราวออกมาอย่างต่อเนื่อง สำหรับแผนงานการพัฒนาเครื่องยนต์ V4 จากค่ายปีกนก Honda โดยล่าสุดทาง Moto.it สื่อใหญ่สายมอเตอร์ไซค์จากประเทศอิตาลี เองก็มีรายงานว่าทางค่ายปีกนกได้ยื่นสิทธิบัตรชุดใหม่ให้กับกรมทรัพย์สินทางปัญญาสหภาพยุโรปพิจารณาแล้ว
2009 Honda VFR1200F
ย้อนกลับไปในช่วงเริ่มต้นของข่าวการพัฒนาเครื่องยนต์ V4 สำหรับรถมอเตอร์ไซค์ Production ของค่าย Honda นั้นเกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ไล่เรียงตั้งแต่การกำเนิดของเครื่องยนต์ V4 1,237 ซีซี 76 องศา Unicam ที่ใช้งานบน Honda VFR1200F ตั้งแต่รุ่นแรกในปี 2009 จนถึงรุ่นการผลิตสุดท้ายในปี 2017 โดยย้อนกลับไปในปี 2013 Honda เองเคยยื่นเอกสารในการพัฒนาเครื่องยนต์ V4 รุ่นใหม่ต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญาในประเทศญี่ปุ่น และอเมริกา มาแล้วหนึ่งครั้ง และครั้งล่าสุดนั้นทาง Moto.it เองก็รายงานว่าทางผู้ผลิตได้ใช้เอกสารที่มีลักษณะที่คล้ายกับชุดที่ยื่นในปี 2013 เข้ายื่นต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญาสหภาพยุโรปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
โดยส่วนที่เป็นประเด็นสำคัญของเอกสารชุดนี้ก็คือเรื่องของระบบ V2 Texh ที่ติดตั้งในเครื่องยนต์ โดยที่ระบบนี้จะทำการปิดการทำงานของระบบลูกสูบคู่หลังของเครื่องยนต์ เพื่อให้ตัวเครื่องยนต์สามารถส่งกำลังในการออกตัวที่ดีกว่า รวมไปถึงประสิทธิภาพในการใช้งานในรอบเครื่องยนต์ที่ต่ำถึงกลาง และที่สำคัญที่สุดคือการลดการปล่อยมลพิษและการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงในการทำงาน และแน่นอนว่าการเปิด ปิด การทำงานของระบบลูกสูบคู่หลังนั้นจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำอัตราความเร็วจากต่ำไปสูงได้ไวกว่าเดิม โดยใช้เชื้อเพลิงที่น้อยกว่า
จะว่าไปแล้วการเปิดหรือปิดการทำงานของกระบอกสูบคู่หลังอาจจะไม่ใช่สิ่งใหม่ในเครื่องยนต์ V4 ซึ่งในปัจจุบัน Ducati เองก็ใช้เทคโนโลยีในทำนองเดียวกันกับเครื่องยนต์ V4 ที่ติดตั้งบน Panigale V4s โดยระบบจะทำงานแตกต่างกันเล็กน้อย โดยที่เทคโนโลยีของ Ducati นั้นจะปิดการทำงานกระบอกสูบคู่หลังในช่วงเวลาสั้นๆ เพื่อไม่ให้เครื่องยนต์ขาดการเดินของไอดี จนขาดระบบไหลเวียนภายในเครื่องยนต์ ซึ่งดูเหมือนว่าความแตกต่างนี้จะเป็นจุดที่ได้เปรียบกว่าของเครื่องยนต์ใหม่จาก Honda
อย่างไรก็ดีสิทธิบัตรชุดนี้มีอายุร่วม 8 ปีเห็นจะได้ แต่ก็ยังไม่เห็นการผลิตออกมาเป็นรุ่นต้นแบบ หรือขั้นตอนอื่นๆ นอกเหนือจากงานเอกสารเท่านั้น การที่เครื่องยนต์ชุดนี้จะถูกผลิตขึ้นมาจริงๆ คงต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อยๆ ก็ 2 ปี ซึ่งจะตรงกับปี 2024 ซึ่งจะทำให้ทางบริษัทมีเวลาในการเก็บเกี่ยวผลผลิตจากการพัฒนานี้อีกราวๆ 15-16 ปี ก่อนที่จะเปลี่ยนสถานะเป็นแบรนด์ผู้ผลิตยานยนต์ EV 100% ในปี 2040 ตามที่วางโครงการไว้ มันจะคุ้มค่าหรือไม่ คงต้องติดตามกันต่อไป
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก www.visordown.com moto.it young-machine.com
Keattisak Ngamkham – Writer, automotive journalist with experience The whole motorcycle industry and the motorsport industry Expert in doing reviews of all types of motorcycles.