นายใหญ่ Kawasaki กำลังพิจารณาความเป็นไปได้ของ segment ใหม่
กลายเป็นข่าวที่เริ่มมีกระแสอีกครั้ง หลังจาก Iwanbanaran.com สื่อสองล้อชื่อดังจากอินโดนีเซีย ได้เผยแพร่บทสัมภาษณ์ของ Jin Inoue ประธานผู้อำนวยการของบริษัท Kawasaki Indonesia ที่เปิดเผยว่า “กำลังพิจารณาความเป็นไปได้ของ Segment ใหม่ในผลิตภัณฑ์ของบริษัท”
สิ่งหนึ่งที่ทำให้ Kawasaki แตกต่างออกไปจากผู้ผลิตญี่ปุ่นรายอื่นๆ ก็คือ การมุ่งเน้นตลาดรถมอเตอร์ไซค์ที่มีความจุมากกว่า 250 ซีซี ขึ้นไป หากพิจารณาจากไลน์อัพผลิตภัณฑ์ในอดีตแล้ว ในช่วง 80 ตอนปลาย Kawasaki ถือว่าเป็นเทพในเรื่องของรถสองจังหวะสายประสิทธิภาพ โดยมีโมเดลอย่าง kawasaki KR-Series หรือแม้แต่รถกระเทยในตำนานอย่าง Tuxedo 110 และในยุคหลัง 2000 เราก็ได้เห็น KSR 110 มินิสตรีทไบค์ที่ขับขี่กันเต็มท้องถนน จนกระทั่งในช่วงกลางของยุค 2010 การมาถึงของ Z125 Pro ที่เหมือนจะเป็นหมุดตอกฝา ทำให้ Kawasaki ไม่เหลือโมเดลเครื่องยนต์ที่มีความจุต่ำกว่า 250 ซีซีอีกเลย
สิ่งหนึ่งที่เราเห็นได้จากแนวทางในตลอดหลายปีที่ผ่านมาของ Kawasaki คือการที่ผู้ผลิตเลือกจะใช้แนวทางของตัวเอง โดยไม่พึ่งพากระแสความต้องการของผู้บริโภค ยกตัวอย่างเช่นการนำเสนอโมเดลรถอัตโนมัติ หรือสกู๊ตเตอร์ ที่กลายเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์สามัญที่ขายดี และสร้างผลกำไรได้อย่างเป็นกอบเป็นกำให้กับผู้ผลิต แม้จะมีโมเดลอย่าง J-Serie ที่ทำการตลาดในญี่ปุ่นและยุโรปบางส่วน แต่ก็ไม่ได้ถูกนำมาใช้เป็นผลิตภัณฑ์ในตลาดอาเซี่ยน และที่สำคัญในไลน์ผลิตภัณฑ์กลุ่มอัตโนมัตินั้น ถูกยุบไลน์การผลิต และปิดฉากการตลาดมาได้พักใหญ่ๆ แล้ว
ล่าสุด Iwanbanaran.com สื่อออนไลน์สายสองล้อจากประเทศอินโดนีเซีย ได้มีโอกาสในการพูดถึงกับ Jin Inoue ประธานผู้อำนวยการของบริษัท Kawasaki Indonesia ที่ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของทางค่าย โดยเริ่มต้นจากแนวทางของการพัฒนารถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าที่กำลังเป็นกระแสในปัจจุบัน “เราไม่คิดอย่างนั้น” Jin Inoue กล่าวให้สัมภาษณ์ “EV ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาขั้นสุดท้ายในการปล่อยไอเสีย อย่างไรก็ตาม ไฮโดรเจนเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง และเราในญี่ปุ่นก็จริงจังกับการทำงานกับเทคโนโลยีนี้เป็นอย่างมาก การปล่อยก๊าซไอเสียมีค่าเป็นศูนย์อย่างแท้จริง เนื่องจากไม่มีการสิ้นเปลืองแบตเตอรี่และไม่มีมลภาวะ Kawasaki ได้แสดงเครื่องยนต์ต้นแบบไฮโดรเจนจาก H2 Hyse เป้าหมายของเราคือในปี 2030 เครื่องยนต์จะเปิดตัวในการผลิตจำนวนมาก”
นอกจากนี้ Jin Inoue ยังกล่าวเสริมในทำนองที่ว่า โครงการพัฒนาพลังงานไฮโดรเจนนี้ มีผู้ผลิตจากญี่ปุ่นเข้าร่วมหลายบริษัททั้ง Honda, Yamaha, Suzuki ไปจนถึง Toyota, Mitsubishi, Daihatsu เป็นต้น นั้นหมายความถึง มีความเป็นไปได้ที่ผู้ผลิตเหล่านี้จะหันมาพัฒนาเครื่องยนต์ไฮโดรเจน เพื่อการผลิตจำนวนมาก จนก่อให้เกิดการลดจำนวนการผลิตยานยนต์พลังงานแบตเตอรี่ในอนาคต
“ไม่… จนถึงตอนนี้ยังไม่ใช่แผน เราจะพัฒนาควบคู่กันไป ดังนั้น EV และ Hydrogen จึงได้รับการพัฒนาทั้งคู่ แล้วตลาดจะเลือก เพราะ EV จากประสบการณ์ของเรามากกว่า 5 ปีจะต้องใช้ต้นทุนจำนวนมากเมื่อคำนึงถึงแบตเตอรี่ ราคาของตัวรถในอนาคตจะเพิ่มขึ้น โดยที่ส่วนหนึ่งจะเป็นราคาในการผลิตแบตเตอรี่ ในทางกลับกันเครื่องยนต์ที่ใช้ไฮโดรเจนเป็นหลังงานขับเคลื่อนนั้น จะมีรูปแบบที่เหมือนกับเครื่องยนต์ที่เราใช้งานในปัจจุบัน แตกต่างกันเพียงแหล่งก่อให้เกิดพลังงานเท่านั้น ดังนั้นส่วนประกอบและระบบต่างๆ ไม่ได้แตกต่างออกไปจากยานยนต์ที่เราใช้งานในปัจจุบันแม้แต่น้อย” Jin Inoue หล่าวสรุปในเรื่องนี้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าจะเป็นประเด็นสำคัญที่สุดในการสนทนากันในครั้งนี้ คือแนวทางความเป็นไปได้ที่ Kawasaki จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในรูปแบบสกู๊ตเตอร์ หรือรถอัตโนมัติ ซึ่งทาง Iwanbanaran ก็พยายามที่จะยิงคำถามให้เข้าเป้ามากที่สุด จนสุดท้าย Jin Inoue และ Michael C. Tanadhi รองหัวหน้าฝ่ายขาย Kawasaki Motor Indonesia ได้ยอมเปิดปากเป็นครั้งแรกว่า “สิ่งที่ชัดเจนคือ Kawasaki จะมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับผู้บริโภค และเรากำลังพิจารณาความเป็นไปได้ของแนวทางผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ” อาจจะไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน แต่ก็ออกมาน่าสนใจไม่น้อย
ว่ากันตามตรงแล้ว “แนวทางใหม่” ที่สองผู้บริหารได้เอ่ยถึงนั้น ในมุมมองของพวกเรา Greatbiker มองว่า แนวทางใหม่นี้ “อาจจะไม่ใช่กู๊ตเตอร์หรือรถอัตโนมัติ” อย่างที่หลายๆ คนกำลังรออยู่ แต่จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่แล้ว แต่นยังไม่เปิดตัวในตลาดอาเซี่ยนก็เท่านั้น โมเดลแรกที่เราคาดว่าจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้คือ Kawasaki NInja 7 Hybrid และ Kawasaki Z7 Hybrid ที่พึ่งจะโชว์ตัวไปในที่งาน BIMS 2024 เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เพราะมันเป็นโมเดลใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน และมันเป็นแนวทางใหม่ที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนในตลาดรถมอเตอร์ไซค์มาก่อน อีกทั้งโมเดลนี้ผ่านการลงทุนและพัฒนาแล้ว การนำเอาโมเดลแนวทางใหม่นี้มาเปิดตลาด มันก็น่าจะมีโอกาสที่จะ “ไม่เข้าเนื้อ” และมีความเป็นไปได้ที่ตัวรถจะสร้างผลกำไรให้กับบริษัท
แต่แนวทางโดยตรงอย่าง Kawasaki J-Series ที่มาพร้อมกับแนวทางของรถสกู๊ตเตอร์แบบ Maxxi ซึ่งอย่างที่เราบอกไป คือมันผิดสายการผลิต และยุติการพัฒนารวมถึงการจำหน่ายไปแล้ว ดังนั้นการดึงเอาไลน์อัพเดิมที่ปิดไลน์ไปแล้ว ให้กลับมาสร้างใหม่ สิ่งหนึ่งที่เราต้องทำใจเลย คือการพัฒนาของตัวรถนั้น ถึงขั้นสุดแล้ว เทคโนโลยีของเครื่องยนต์อาจจะไม่ต่อสู้กับคู่แข่งได้ รวมไปถึงการใส่ฟีเจอร์ต่างๆ บนตัวรถ อาจจะไม่ทัดเทียมกับความต้องการของตลาด แต่หากจะเทเม็ดเงินในการลงทุนในการพัฒนาแล้ว มันก็ดูเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ เพราะนอกเหนือจากการทำตลาดเพื่อเจาะกลุ่มเล็กๆ อย่างประเทศในย่านอาเซี่ยนเท่านั้น การเทเม็ดเงินลงไปดูจะไม่คุ้มค่ากับตลาดที่เริ่มมีการอิ่มตัว รวมถึงคู่แข่งที่แข็งแกร่งอย่างมากในปัจจุบัน
โดยสรุปแล้ว สิ่งที่ Kawasaki Indonesia กำลังพิจารณาอยู่นั้น เราคงต้องรอการออกมาประกาศอย่างเป็นทางการในอนาคต แต่ในทิศทางและความเป็นไปได้นั้น เรามองว่า Kawasaki มักจะสร้างสิ่งใหม่ๆให้กับวงการมอเตอร์ไซค์มาโดยตลอด และการขยับตัวครั้งนี้ น่าจะเป็นอีกครั้งที่ Kawasaki จะปูทางให้กับผู้ผลิตรายอื่นๆ อีกครั้ง ก็เป็นไปได้
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก iwanbanaran.com
.
Keattisak Ngamkham – Writer, automotive journalist with experience The whole motorcycle industry and the motorsport industry Expert in doing reviews of all types of motorcycles.