เจาะสเปกและรายละเอียดใหม่ของ 2022 Suzuki Hayabusa
นับว่าเป็นโมเดลที่หลายๆ คนรอคอยการมาถึงเป็นอย่างมากสำหรับ 2022 Suzuki Hayabusa ที่ในที่สุดผู้ผลิตสัญชาติญี่ปุ่นก็ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการเสียที หลังจากปล่อยให้รอกันนานถึง 2 ปี และนี้เป็นการอัพเดตครั้งใหญ่ที่สุดของไลน์ โมเดลในรอบ 8 ปี จะมีความแตกต่างจากเดิมมากน้อยเพียงใดไปติดตามกันได้เลยครับ
2022 Suzuki Hayabusa เป็นรถมอเตอร์ไซค์ที่ผู้ผลิตจัดหมวดหมู่พิเศษไว้ว่า “Ultimate Sportbike” ภายรวมภายนอกนั้นยังคงเอกลักษณ์ของเจ้า “พญาเหยี่ยว” ได้อย่างครบถ้วนไม่ว่าจะเป็นชุดไฟหน้าแบบโคมเดี่ยว ทรงเรียว ช่อง Air Intake ด้านหน้า ความใหญ่โตของแฟร์ริ่ง ส่วนโค้งท้ายตัวรถที่ไม่เหมือนใคร พร้อมด้วยเบาะนั่งทรงสปอร์ตที่ใหญ่โตเหมาะกับการซุกตัวหมอบใต้ชิลด์หน้าขนาดใหญ่ ที่ทำให้การขับขี่ได้ท่าทางที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด
หากเราพิจารณาในเรื่องของรูปลักษณ์ภายนอกนั้น 2022 Suzuki Hayabusa ดูจะไม่แตกต่างออกไปจากรุ่นล่าสุดในปี 2013 สักเท่าไหร่ แต่ในส่วนลึกของรายละเอียดบนตัวรถนั้นมีการเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงในทิศทางที่ดีขึ้นกว่าเดิม โดยที่ยังคงอิงกับมาตรฐานไอเสีย EURO5 ที่เป็นกำแพงกั้นประสิทธิภาพสูงสุดของมันอยู่
สเปกพื้นฐานของเครื่องยนต์ของเจ้า 2022 Suzuki Hayabusa จะมาพร้อมกับขุมกำลังขนาด 1,340 ซีซี แบบ 4 ลูกสูบเรียง DOHC 4 วาล์วต่อสูบ ระบายความร้อนด้วยน้ำ ให้กำลังสูงสุด 187.75 แรงม้าที่ 9,700 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 110.68 ib-ft ที่ 7,400 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์ 6 สปีด ส่งกำลังสุดท้ายด้วยโซ่ ระบบกันสะเทือนแบบหัวกลับ Upside-Down ขนาด 43 มิลลิเมตร ปรับระดับได้จากแบรนด์ KYB ระบบกันสะเทือนหลังแบบ Monoshock ปรับสปริง Preload, rebound และ compression damping ระบบเบรกหน้าแบบดิสก์เบรกคู่ขนาด 320 มิลลิเมตร คาลิปเปอร์เบรกแบบ 4 พอร์ต ด้านหลังจานดิสก์เบรกเดี่ยวขนาด 260 คาลิปเปอร์แบบพอร์ตเดี่ยว มาพร้อมกับวงล้ออัลลอยด์ขนาด 17 นิ้ว สวมยางไซส์ 120/70ZR-17 และ 190/50ZR-17
2022 Suzuki Hayabusa ถูกปรับปรุงในเรื่องของเครื่องยนต์ใหม่เกือบทั้งหมด โดยที่เครื่องยนต์ที่ผ่านการพัฒนาใหม่นี้ มีกำลังสูงสุดที่เพลาข้อเหวี่ยง 187.75 แรงม้า น้อยกว่าโมเดลเดิมไป 6.65 แรงม้า แต่ก็ที่ปิดหน้านี้ไป อยากให้ลองเปิดใจและดูแนวทางในการพัฒนาเครื่องยนต์ใหม่ก่อน โดยขุมกำลังใหม่นี้ เน้นในเรื่องของประสิทธิภาพในการส่งกำลังในรอบต่ำและกลางมากขึ้น ถึงแม้ว่าขนาดของกระบอกสูบ x ช่วงชักจะยังเท่ากับ 81.0 x 65.0 มม เหมือนเดิม แต่ก็มีการออกแบบลูกสูบรูปร่างใหม่และมีน้ำหนักที่เบากว่า ก้านลูกสูบน้ำหนักน้อยลงกว่าเดิม 3 กรัม ซึ่งการออกแบบใหม่นี้เป็นการทดแทนและเพิ่มความแข็งแรงให้กับระบบมากขึ้น ห้องเผาไหม้ได้รับการแก้ไขใหม่ โดยลดค่าสัมประสิทธิ์การไหลลง 5% เพื่อให้การเผาไหม้ของอากาศ / เชื้อเพลิงมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมีเป้าหมายในการปรับปรุงประสิทธิภาพรอบเครื่องยนต์ต่ำและรอบกลาง การเหลื่อมของวาล์วลดลง การยกไอเสียเพิ่มขึ้น
ไม่เพียงเท่านี้ทางผู้ผลิตยังปรับปรุงระบบหล่อลื่นไปจนถึงตลับลูกปืนที่ใหญ่กว่าเดิม เพื่อปรับปรุงเรื่องความทนทานและประสิทธิภาพในทุกๆ ย่านความเร็ว ระบบระบายความร้อนของเครื่องยนต์ก็พัฒนาใหม่ โดยการอัพเกรดระบบไหลเวียนของอากาศที่ไหลได้สะดวกมากขึ้น 8% ในขณะเคลื่อนที่ และเพิ่มขึ้นอีก 7% ในจังหวะที่พัดลมเริ่มทำงาน และเพื่อช่วยให้เครื่องยนต์ผลิตกำลังได้ตามที่ต้องการ Suzuki จึงหันไปใช้ระบบคันเร่งไฟฟ้า Ride-by-Wire และตัว throttle bores แบบ 2 หัวฉีด ขนาด 43 มิลลิเมตรใหม่ หัวฉีดหลักจะฉีดพ่นลงไปที่รูโดยตรงในขณะที่ Suzuki Side Feed Injector ใหม่จะฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงกับแผ่นสะท้อนแสงที่อยู่ข้างหน้าวาล์วปีกผีเสื้อ ส่งผลให้แรงม้าและแรงบิดเพิ่มขึ้น 2% ในช่วงต่ำและช่วงกลาง
ท่อไอดีทั้งหมดมีความยาวเพิ่มขึ้น 12 มม เพื่อเพิ่มกำลังในช่วงรอบต่อนาที ช่อง AirBox ที่ปรับขนาดความจุใหม่ โดยเปลี่ยนจากความจุ 10.3 ลิตร เป็น 11.5 ลิตร ไส้และระบบไอเสียเป็นการออกแบบใหม่ทั้งหมด มีการลดน้ำหนักลงกว่าของเดิม 2.04 กิโลกรัม โดยที่ระบบไอเสียนั้นจะเป็นแบบ 4:2:4 มีท่อครอสโอเวอร์ใหม่จากกระบอกสูบ #1 ถึง #4 ที่คล้ายกับท่อที่มีอยู่ตั้งแต่ #2 ถึง #3 ซึ่งช่วยในการเพิ่มกำลังที่ต้องการและเป็นไปตามมาตฐาน EURO5 ตัวท่อไอเสียมีขนาดเล็ก 1.98 ลิตร (รวมกัน) ช่วยในการลดน้ำหนัก
มาดูกันต่อที่โครงสร้างหลักของตัวรถกันบ้าง ถึงแม้ว่าจะยังคงใช้โครงสร้างแบบ twin-spar aluminum frame และ swingarm รูปทรงเดิม แต่ทางผู้ผลิตมีการย้ายจุดศูนย์ถ่วง ให้ต่ำลงใกล้กับพื้นมากขึ้นและกระจายน้ำหนักด้านหน้าหลังได้ 50/50 ลดน้ำหนักของโครงสร้างแต่เพิ่มความแข็ง ซึ่งนั้นหมายความถึงตัวรถจะถูกปรับปรุงในเรื่องของประสิทธิภาพในการขับขี่ในทางโค้งที่มากขึ้น แต่จะยังคงแข็งแกร่งเหมือนเดิมกับการวิ่งทำความเร็วสูงบนเส้นทางตรง โครงสร้างใหม่นี้ถูกสนับสนุนด้วยชุดช่วงล่างใหม่ที่พัฒนาจาก KYB ไม่เพียงแต่สามารถรับแรงและตอบสนองได้ดีกว่าเดิม แต่ยังเพิ่มความสามารถในการปรับค่าที่ละเอียดกว่าเดิม เพื่อช่วยในการทรงตัวทั้งบนการขับขี่แบบทางตรงและเข้าโค้ง โดยที่ได้รับการสนับสนุนด้วยวงล้ออัลลอยด์แบบ 7 ก้านใหม่ พร้อมด้วยยาง Bridgestone S22 ที่ออกแบบมาเฉพาะ
ส่วนของระบบเบรกนั้นได้แบรนด์ระดับโลกอย่าง Brembo ที่มาพร้อมกับรุ่น Stylema แบบสี่พอร์ตและจานดิสก์เบรกขนาด 320 มิลลิเมตรแบบคู่ด้านหน้า ส่วนด้านหลังเป็นแบบดิสก์เบรกเดี่ยว คาลิปเปอร์เบรกแบบหนึ่งพอร์ต พร้อมระบบ ABS พิเศษ Motion Track Anti-Lock Brake System ที่ไวต่อการลีน และมีระบบ Combined Brake System เพื่อช่วยให้แชสซีรักษาระดับ สำหรับผู้ที่ชอบใช้เบรกหลังเพียงอย่างเดียว และยังมีระบบ Slope Dependent Control System ที่ทำงานเพื่อลดการยกล้อหลังให้น้อยที่สุดเมื่อเบรกบนทางลาดลงเนิน รวมไปถึงระบบ Hill Hold Control System ระบบช่วยเบรกในการสตาร์ทเครื่องยนต์ขณะจอดบนทางที่ลาดเอียง
แน่นอนว่ารถใหม่ในปี 2022 นั้นจะต้องมาพร้อมกับระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ล้ำสมัย Hayabusa รุ่นใหม่นั้นมาพร้อมกับคันเร่งไฟฟ้า Ride-by-Wire ใหม่ โดยมีระบบ Suzuki Intelligent Ride System (SIRS) และรระบบ Suzuki Drive Mode Selector Alpha ที่มีโหมดการขับขี่มาตรฐานโรงงานสามโหมด และโหมดที่ผู้ใช้กำหนดเองได้สามโหมด โดยการปรับแต่ค่าต่างๆ นั้น ผู้ขับขี่สามารถเลือกระดับหรือเปิดปิดระบบการทำงานต่างๆได้อย่างอิสระ ไม่ว่าจะเป็นระบบเบรกที่กล่าวไปด้านบน หรือระบบ Motion Track Traction Control System ที่มีให้เลือกปรับถึง 10 ระดับ ระบบ Anti-Lift Control ระบบ Engine Brake Control ระบบ Launch Control ซึ่งให้ทางเลือกแก่ผู้ขับขี่สามทางเลือกในการออกตัว ได้ตั้งแต่ 4,000-8,000 รอบต่อนาที
ไม่เพียงเท่านี้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหลายจะทำงานรวมกับแกน IMU จาก Bosch และควบคุมการทำงานด้วยระบบ ECU เพลิดเพลินกับการขับขี่ด้วยตัวช่วยอย่าง ระบบ Quick Shift แบบสองทาง ที่สามารถปรับขึ้นและลดเกียร์ได้อย่างอิสระ และความสามารถใหม่ Active Speed Limiter ระบบจำกัดความเร็วที่สามารถปรับค่าได้ โดยสามารถไล่เรียงขีดจำกัดความเร็วตั้งแต่ 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไปถึงขีดสุดของตัวรถที่สามารถทำได้ที่ 299 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
จนถึงตรงนี้ทาง Suzuki ยังคงไม่มีกำหนดการณ์ที่แน่ชัดในการจำหน่ายเจ้า 2022 Suzuki Hayabusa แต่มีการประกาศสีสันออกมาเป็นที่เรียบร้อย โดยจะมาพร้อมกัน 3 ชุดสีประกอบไปด้วย Glass Sparkle Black – Candy Burnt Gold, Metallic Matte Sword Silver – Candy Daring Red และ Pearl Brilliant White – Metallic Matte Stellar Blue และมีราคาแนะนำสำหรับตลาดอเมริกาในราคา 18,599 ดอลลาร์ หรือประมาณ 558,342 บาท ส่วนการเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยหรือไม่นั้น ชัดเจนว่ามาแน่นอน แต่ขึ้นอยู่กับ Suzuki Thailand จะมีการนำเข้ามาในช่วงเวลาใด และราคาของมันนั้นจะเพิ่มจากราคาปัจจุบันที่จำหน่ายอยู่ที่ 850,000 บาท หรือไม่ ต้องติดตามกันให้ดี
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก www.motorcycle.com
Keattisak Ngamkham – Writer, automotive journalist with experience The whole motorcycle industry and the motorsport industry Expert in doing reviews of all types of motorcycles.