อัพเดทใหม่ 2022 Honda CBR1000RR-R
หลังจากที่เปิดตัวรถมอเตอร์ไซค์สปอร์ตฟูลแฟร์ริ่งตัวใหญ่สุดของทางค่ายอย่างเจ้า Honda CBR1000RR-R ไปเมื่อปี 2020 ที่ผ่านมา ล่าสุดทางค่ายปีกนกก็ได้มีการอัพเกรดตัวรถเวอร์ชั่นที่ไม่เพียงแต่เปลี่ยนสีสัน แต่มีการปรับปรุงในเรื่องของเครื่องยนต์รวมไปถึงอุปกรณ์ต่างๆ ที่ติดตั้งบนตัวรถ เพื่อการตอบสนองต่ออัตราเร่งที่เพิ่มขึ้นและยิ่งทำให้เจ้า CBR1000RR-R เป็น Fireblade ที่แรงที่สุดเท่าที่เคยผลิตออกมาวางจำหน่าย
โดยตัวรถ Honda CBR1000RR-R เวอร์ชั่นปี 2022 นั้น รูปแบบภายนอกอาจจะดูไม่ได้แตกต่างออกไปจากรุ่นที่เปิดตัวในช่วงแรก โดยรุ่นใหม่ที่จะจำหน่ายในปีนี้นั้น จะมีการปรับในเรื่องของสีสันใหม่ โดยรุ่นมาตรฐานจะเปลี่ยนจากสีดำล้วนมาเป็นสีแดง Grand Prix Red โดยจะมาพร้อมกับชุดแฟร์ริ่งสีแบบ Tri-Color และมีจุดสังเกตที่ระบบกันสะเทือนหน้า Showa แบบหัวกลับจะเป็นสีดำ พร้อมกับขอบล้ออัลลอยด์ขนาด 17 นิ้วสีดำด้วยเช่นกัน
2022 Honda CBR100RR-R รุ่นมาตรฐาน
ส่วนในรุ่นที่ขยับขึ้นมาอีกขั้นจะยังคงใช้รหัสห้อยท้าย SP โดยในปีนี้จะมีตัวเลือก 2 ชุดสีประกอบไปด้วยสีขาว Grand Prix White ที่เป็นสีสันพิเศษสำหรับการเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 30 ปี ของโมเดลในตระกูล Fireblade และจะมาพร้อมกับโช้คอัพหน้า Showa รุ่น BPF ขนาด 43 มิลลิเมตรแบบหัวกลับสีทอง และขอบล้ออัลลอยด์สีดำ และอีกหนึ่งสีใหม่จะเป็นชุดสีดำด้าน Matt Pearl Morion Black ที่จะมาพร้อมกับความพิเศษด้วยโช้คอัพหน้าหัวกลับสีทอง และขอบล้ออัลลอยด์สีทองด้วยเช่นกัน
2022 Honda CBR100RR-R SP “Grand Prix White”
2022 Honda CBR100RR-R SP “Matt Pearl Morion Black”
ในส่วนของการปรับปรุง ทางทีมวิศวกรของ Honda ได้มีการปรับปรุงด้านเทคนิดสำหรับตัวรถรุ่นใหม่พอสมควร โดยมีการปรับในเรื่องของระบบไอเสีย ด้วยการออกแบบท่อรวมไอดีใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเร่งความเร็ว อีกทั้งยังมีการปรับปรุงในเรื่องของความทนทานของท่อไอเสียใหม่ ไม่เพียงเท่านี้ยังมีการปรับขนาดเฟืองเกียร์ใหม่จากเดิมที่มีขนาด 40 มิลลิเมตร เป็น 43 มิลลิเมตร เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อการใช้งานได้อย่างรวดเร็วกว่าเดิม
เมื่อการตอบสนองของความเร็วในเรื่องอุปกรณ์แล้ว Honda ยังมีการปรับปรุงในเรื่องของระบบคันเร่งไฟฟ้า throttle-by-wire ให้มีการตอบสนองที่ดียิ่งขึ้น รวมไปถึงระบบช่วยเหลืออย่าง HSTC (Honda Selectable Torque Control) ก็มีการปรับปรุงใหม่เพื่อให้สามารถเข้าถึงการปรับตั้งค่าได้ละเอียดมากขึ้น อีกทั้งยังมีการเปลี่ยนในเรื่องของระบบเบรกจาก Nissin ด้วยการอัพเดทคาลิปเปอร์ใหม่ที่สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพถึงแม้จะอยู่ในอุณหภูมิการทำงานที่สูงกว่าปกติ
สำหรับการจำหน่ายนั้น Honda ได้วางกำหนดการในการจำหน่ายโมเดลใหม่นี้ในเดือนเมษายนที่จะถึงนี้ในประเทศญี่ปุ่น พร้อมกับมีการเปิดเผยราคาอย่างเป็นทางการ โดยรุ่นมาตรฐานจะมีราคาจำหน่ายที่ 2,420,000 เยน หรือประมาณ 684,674 บาท และรุ่น SP ที่จะจำหน่ายในราคา 2,783,000 เยน หรือประมาณ 789,525 บาท ส่วนประเทศไทยนั้นคาดว่าจะมีการเปิดตัวในเร็วๆนี้ และจะมีการอัพเดทตามรูปแบบสากลและพร้อมจำหน่ายอย่างช้าในเดือนสิงหาคมนี้
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก www.iwanbanaran.com
Keattisak Ngamkham – Writer, automotive journalist with experience The whole motorcycle industry and the motorsport industry Expert in doing reviews of all types of motorcycles.