รีวิว All New Honda Africa Twin CRF1100L รุ่นใหม่ ทดสอบขับขี่จริง!
หากจะพูดถึงรถมอเตอร์ไซค์สายทัวร์ริ่งแนวลุยๆ ที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากแล้วล่ะก็ ชื่อของ Honda Africa Twin จะต้องเป็นหนึ่งในนั้นอย่างแน่นอน ด้วยประวัติของตัวรถอันยาวนานของตัวรถ และประสิทธิภาพของมันที่ได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง จนมาถึงเวอร์ชั่นล่าสุดที่ได้เปิดตัวกันไปในบ้านเราก่อนหน้านี้ไม่นาน ก็กลายเป็นกระแสในทันที ทาง GreatBiker เลยขออาสานำมันมารีวิวให้เพื่อนๆ ได้ทราบกันอย่างละเอียด ในทุกๆ แง่มุมของตัวรถและการขับขี่
ก่อนอื่นเรามารู้จักกับรายละเอียดของตัวรถกันก่อน
All New Honda Africa Twin รุ่นล่าสุดนั้นมาพร้อมกับสโลแกนที่ว่า “True Adventure” ที่ถ่ายทอด DNA จากตำนานแชมป์ดาการ์แรลลี รายการแข่งขันสุดโหดระดับโลก และตัวรถนั้นมีไฮไลท์ที่สำคัญอย่างการอัพเกรดเครื่องยนต์ใหม่มาอยู่ที่ 1,084cc โดยจะมากกว่าเวอร์ชั่นเดิมถึง 86cc ด้วยกัน ส่งผลให้ตัวรถนั้นมีแรงม้าสูงสุดอยู่ที่ 101 HP ที่ 7,500 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 105 NM ที่ 6,250 รอบต่อนาที โดยที่วาล์วปีกผีเสื้อใหม่และหัวลูกสูบใหม่นั้น จะช่วยทำให้การจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงและอากาศไหลเวียนได้ราบลื่นมากขึ้น ซึ่งถึงแม้ว่าเครื่องยนต์จะมี cc ที่เพิ่มขึ้น แต่น้ำหนักตัวโดยรวมของรถนั้นกลับเบาลงกว่ารุ่นก่อนหน้านี้
โดยตัวรถจะมี 2 เวอร์ชั่นให้เลือกก็คือเวอร์ชั่นแบบเกียร์ธรรมดา MT และเวอร์ชั่นแบบเกียร์ DCT ในชื่อรุ่นว่า ADVENTURE SPORTS ที่สามารถเลือกได้ทั้งเกียร์แบบออโตเมติก หรือเลือกเปลี่ยนเกียร์เองแบบชิฟท์มือแบบ 6 สปีด
ในส่วนฟีเจอร์ต่างๆ ของ All New Honda Africa Twin ทั้งรุ่นเกียร์ธรรมดา และรุ่น ADVENTURE SPORTS ที่เหมือนกันนั้นก็คือ หน้าจอแสดงผลแบบ TFT Digital แบบทัชสกรีนขนาด 6.5 นิ้ว รองรับการทำงานกับแอพพลิเคชั่น Apple CarPlay ซึ่งสามารถแสดงแผนที่สำหรับการเดินทาง ฯลฯ ได้ และจะมีในเรื่องของโหมดการขับขี่ที่สามารถปรับได้ถึง 6 โหมดด้วยกันอย่าง Urban ใช้งานปกติในเมือง, Tour สำหรับออกทริป, Gravel สำหรับวิ่งบนทางกรวด และ Off-Road สำหรับการวิ่งในทางฝุ่นทางดิน รวมไปถึงโหมดการขับขี่ User Mode ให้ผู้ขับขี่สามารถปรับแต่งได้อีกถึง 2 โหมดด้วยกัน ทำงานร่วมกับคันเร่งไฟฟ้า Ride-by-Wire
ส่วนในเรื่องของฟีเจอร์การช่วยเหลือในการขับขี่ต่างๆ นั้นจะประกอบไปด้วยระบบ HSTC (Honda Select Torque Control) ตัวป้องกันล้อหมุนฟรี ที่สามารถปรับระดับได้ถึง 7 ระดับด้วยกัน EEB (Electronics Engine Brake) ควบคุมการทำงานของเอนจิ้นเบรก ที่จะปรับได้ 3 ระดับ และระบบใหม่ล่าสุด Wheelie Control ป้องกันล้อหน้ายก ที่สามารถปรับได้ 3 ระดับ มีระบบ Cruise Control ล็อกความเร็วของตัวรถขณะขับขี่ (โดยทั้ง 2 รุ่นนั้นจะมีเงื่อนไขในการทำงานที่แตกต่างกันเล็กน้อย) และยังมีระบบ Cornering ABS เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของระบบเบรก ABS ในขณะเข้าโค้ง ที่เสริมเข้ามาอีกด้วย ซึ่งระบบทั้งหมดนี้จะสามารถเปิดและปิดการทำงานได้อย่างอิสระ
ทีนี้ในส่วนของฟีเจอร์ที่มีเฉพาะรุ่นท็อปอย่างรุ่น ADVENTURE SPORTS แน่นอนว่าอย่างแรกเลยก็คือระบบเกียร์แบบ DCT 6 สปีด, ระบบไฟเลี้ยว Cornering Light ที่สามารถเปิดได้เองแบบอัตโนมัติเมื่อเข้าโค้ง และปรับการส่องสว่างตามองศาการเลี้ยวของรถ แฮนด์ปรับอุณหภูมิได้ (Heat Grips) วิลด์ชิลด์หน้าปรับได้ถึง 5 ระดับ พร้อมด้วยช่องชาร์จไฟมือถือ ACC CHARGER ถังน้ำมันขนาดใหญ่ถึง 24.8 ลิตร (ส่วนรุ่นเกียร์ธรรมดาจะจุมาอยู่ที่ 18.8 ลิตร) และที่เป็นไฮไลท์สำคัญก็คือในเรื่องของโช้กอัพหน้า-หลังไฟฟ้า SHOWA ที่สามารถปรับเปลี่ยนการยุบตัวและคืนตัวได้แบบเรียลไทม์ เพื่อให้เหมาะสมกับทุกสภาพถนน (ในขณะที่รุ่นเกียร์ธรรมดานั้นจะเป็นแบบปรับแมนนวล)
และทีนี้ก็ถึงเวลาทดสอบขับขี่จริงกันแล้ว
อย่างที่เกริ่นกันไปว่าน้ำหนักตัวและมิติของ All New Honda Africa Twin นั้นน้อยลงกว่าเวอร์ชั่นเดิม ทำให้ตัวรถนั้นมีความคล่องตัวในการขับขี่มากยิ่งขึ้น และสามารถคอนโทรลรถได้ง่าย แม้แต่ผู้ที่ยังไม่เคยได้สัมผัสหรือลองขี่มาก่อน ก็สามารถปรับตัวทำความคุ้นเคยกันได้ไม่นาน หรือพูดง่ายๆ ว่ามันขี่ง่ายกว่าภาพที่เราเห็นครั้งแรก การทดสอบขับขี่ในเส้นทางฝุ่นแบบออฟโร้ดนั้นพบว่า การบังคับควบคุมรถสามารถทำได้ง่ายๆ ดั่งใจ ด้วยบาลานซ์ของตัวรถที่ออกแบบมาได้เป็นอย่างดี ทำให้การเอียงรถเข้าโค้ง หรือการขึ้น-ลงเนินนั้นมีความเสถียรเอามากๆ ไม่มีการเสียอาการให้เห็นแต่อย่างใด
ทีนี้เราจะลองนำมาทดสอบในการวิ่งทางไกลๆ ออกทริปกันบ้าง สำหรับรุ่น ADVENTURE SPORTS นั้นถือว่ากำเนิดมาเพื่อการนึ้โดยเฉพาะ ทั้งการออกแบบชิลด์หน้าที่ยกมาค่อนข้างสูง ทำให้เราสามารถวิ่งยืนพื้นด้วยความเร็วสูงได้อย่างสบายๆ แบบลมไม่มาประทะกับตัวเรามากนัก ประกอบกับท่านั่งในการขับขี่ และตำแหน่งของแฮนด์บาร์นั้นออกแบบมาค่อนข้างลงตัวเลยทีเดียว ทำให้ลดภาระความเมื่อยล้าในการขับขี่ไปได้เป็นอย่างมาก แต่รุ่นเกียร์ธรรมดาจะมีชิลด์หน้าที่เตี้ยกว่าพอสมควร ในการวิ่งด้วยความเร็วสูงอาจจะต้องก้มเพื่อหลบลมที่มาประทะตัวเราบ้าง
ในส่วนของอัตราเร่งของทั้ง 2 รุ่นนั้นถือว่ามีความใกล้เคียงกัน ถึงแม้ว่าระบบเกียร์จะเป็นคนละแบบ แต่ด้วยพื้นฐานของเครื่องยนต์เดียวกันทำให้สามารถรีดอัตราเร่งและแรงบิดออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม การไต่ความเร็วนั้นหายห่วง กับขุมกำลังในพิกัดนี้สามารถเรียกได้ดั่งใจ แต่แน่นอนว่าในรุ่น ADVENTURE SPORTS ที่มีเกียร์แบบ DCT นั้นจะสะดวกสบายในการขับขี่มากกว่า โดยเฉพาะเมื่อเราเปิดในโหมดอัตโนมัติเต็มรูปแบบ ทำให้การขับขี่นั้นสนุกมากยิ่งขึ้น ในเส้นทางที่อาจจะมีอุปสรรคต่างๆ ทำให้เราไม่ต้องคอยพะวงกับการเปลี่ยนเกียร์แต่อย่างใด
ระบบช่วงล่างถือว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลย ในรุ่นเกียร์ธรรมดานั้นออกแบบช่วงล่างมาเพื่อรองรับแรงสะเทือนต่างๆ ได้เป็นอย่างดี เหมาะสมตามแนวทางของรถเอามากๆ แต่ในรุ่น ADVENTURE SPORTS นั้นจะก้าวไปอีกขั้นด้วยระบบกันสะเทือนแบบปรับไฟฟ้า ที่บอกเลยว่ามัน “เทพ” มากๆ อันนี้ทางทีมงานของ GreatBiker ที่มีโอกาสได้ทดสอบกันหลายคนต่างก็ลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่ายอดเยี่ยม ช่วยให้การขับขี่นั้นไม่เสียอาการ และลดความสะท้านในการขับขี่ไกลๆ ได้เป็นอย่างดี ซึ่งตรงนี้ถือว่าตอบโจทย์สำหรับรถที่เอาไว้ออกเดินทางได้แบบถูกจุดที่สุด
โดยอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันในรุ่นเกียร์ธรรมดานั้นจะอยู่ที่ประมาณ 20.8 กม./ลิตร และรุ่น ADVENTURE SPORTS นั้นจะอยู่ที่ประมาณ 20.4 กม./ลิตร ซึ่งทั้งสองรุ่นนั้นถือว่าไม่แตกต่างกันมากนัก วัดจากการขับขี่ในหลากหลายสไตล์ที่เราทดสอบกันในครั้งนี้ ซึ่งมีทั้งทางออฟโร้ด และทางออนโร้ด โดยรวมแล้วถือว่าทำออกมาได้น่าพอใจทีเดียว เมื่อเทียบกับ cc ของตัวรถและลักษณะการใช้งาน แต่หากว่าเอาไปใช้วิ่งในเส้นทางออกทริปยาวๆ เป็นหลัก ก็สามารถทำตัวเลขได้มากกว่า 20 กม./ลิตรอย่างแน่นอน
บทสรุปของ All New Honda Africa Twin CRF1100L
ภาพรวมของรถทั้ง 2 รุ่นนั้นเรียกได้อย่างเต็มปากว่ามันเป็นหนึ่งในรถแอดเวนเจอร์ทัวร์ริ่งที่ดีที่สุดในยุคนี้ กับการพัฒนาตัวรถมาอย่างยาวนาน ไล่เรียงมาจนถึงในรุ่นปัจจุบันนี้ ที่ถือว่าได้ปรับปรุงแก้ไขในหลายๆ จุดของตัวรถให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น และมันเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ที่มองหารถดีๆ สักคันเอาไว้ออกเดินทางไกล เพราะเมื่อเราถึงจุดหมายแล้วร่างกายของเราจะไม่เมื่อยล้ามากนักแต่อย่างใด ทำให้สามารถไปทำกิจกรรมอื่นๆ ต่อเนื่องได้ อีกทั้งระบบความปลอดภัยและตัวช่วยเหลือในการขับขี่ต่างๆ ก็ทำให้การขับขี่นั้นทั้งสนุกและสะดวกสบายเอามากๆ เชื่อว่าผู้ที่ได้ครอบครองมันจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน
สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางบริษัท A.P. Honda ที่เอื้อเฟื้อรถในการทดสอบขับขี่ครั้งนี้ และในโอกาสต่อไปทาง GreatBiker จะนำรถมอเตอร์ไซค์รุ่นอื่นๆ มารีวิวให้ได้ชมกันอีกอย่างแน่นอน อย่าลืมติดตามกันให้ได้นะครับ
Sakon Supapornopas – Website founder greatbiker.com I like all types of motorcycles. Working in the automotive industry for more than 10 years, in-depth analysis of new motorcycle models. that will be launched in Thailand and abroad Review from actual use experience