Banner Yamaha Grand Filano Hybrid Connected 2024 1150x250
Banner Yamaha Grand Filano Hybrid Connected 2024 400x300

Royal Enfield Classic 350 เปิดจองล่วงหน้า ก่อนขายจริง 1 กันยายนนี้ที่ประเทศอินเดีย

Royal Enfield Classic 350 เปิดจองล่วงหน้า ก่อนขายจริง 1 กันยายนนี้ที่ประเทศอินเดีย

เจนเนอเรชั่นใหม่กำลังจะมาถึง สำหรับรถมอเตอร์ไซค์แนวคลาสสิกจากผู้ผลิต Royal Enfield ที่พกพาเครื่องยนต์ใหม่ที่ผ่านการพัฒนาและทดสอบมาแล้วบนโมเดล Meteor 350 ที่เข้ามาเขย่าตลาดรถในแนวทางของ Classic-Cruiser ในคลาสเริ่มต้น และล่าสุดทางแบรนด์ได้มีการเปิดให้ผู้ที่สนใจได้ทำการจับจองล่วงหน้า ก่อนการจำหน่ายจริงในวันที่ 1 กันยายนนี้

c75cadcef3c440a0315093a00d949689.jpg

สำหรับ Royal Enfield Classic 350 นั้นจัดว่าเป็นรถมอเตอร์ไซค์รุ่นที่ขายดีเป็นอันดับหนึ่งของแบรนด์ โดยเฉพาะในตลาดประเทศอินเดีย ที่มีการเปิดตัวโมเดลแรกมาตั้งแต่ปี 2009 ซึ่งนับตลอดช่วงอายุโมเดล 12 ปีที่ผ่านมา ตัวรถมียอดการจำหน่ายไปแล้วกว่า 600,000 คันทั่วประเทศ จึงเป็นเรื่องที่พอจะคาดเดาได้ว่า การเปิดตัวรถรุ่นใหม่ที่เป็นการพัฒนาไปอีกขั้น จะสร้างแรงกระเพื่อมให้กับผลิตภัณฑ์ จนทำให้โมเดลนี้กลายเป็นที่ต้องการเป็นอย่างมาก ได้อย่างไม่ยากเย็น

0cf8cf81b50def83b2b653bdf639eb5b.jpg

โดยพื้นฐานแล้ว 2021 Royal Enfield Classic 350 จะใช้พื้นฐานเครื่องยนต์ชุดเดียวกับที่ติดตั้งบน Meteor 350 รถมอเตอร์ไซค์ในแนวทาง Claasic-Cruiser ที่เปิดตัวไปตั้งแต่ช่วงกลางปี 2020 ที่ผ่านมา โดยใจความสำคัญของเครื่องยนต์ชุดนี้จะเป็นการเปลี่ยน Push-Rod หรือก้านกระทุ้งของเครื่องยนต์ให้เป็นแบบสมัยใหม่ ที่ช่วยลดการสั่นสะท้านจากการหมุนของเครื่องยนต์ ทำให้ตัวรถมีอาการสั่นน้อยลงไม่ว่าจะวิ่งในย่านความเร็วไหนก็ตาม อีกส่วนหนึ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญ คือเรื่องของอัตราบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ทางผู้ผลิตเคลมไว้ว่าจะประหยัดกว่าเครื่องยนต์ชุดเดิมถึง 14% อีกทั้งเครื่องยนต์ยังผ่านมาตรฐาน BS-VI และรอบรับมาตรฐานที่สูงขึ้นไปอีกในอนาคต

0222b69e1eca8fa75d9809bc88d57a2f.jpg

ในส่วนของรูปแบบตัวรถนั้น จะมาบนแนวทางของรถ Calssic เต็มรูปแบบ มีตัวเลือกให้กับผู้บริโภคถึง 5 รูปแบบ ประกอบไปด้วย Redditch, Halcyon, Signals, Dark และ Chrome trim ผู้ซื้อสามารถเลือกรับได้ทั้งแบบเบาะนั่งแบบเดี่ยวหรือแบบคู่ได้ในทุกๆ รุ่นย่อย โดยแต่ล่ะรุ่นย่อยจะมีการใช้ธีมสีและความแตกต่างกันในเรื่องของอุปกรณ์บนตัวรถ อย่างเช่น รุ่น Redditch จะเป็นรุ่นเดียวที่มีระบบเบรก ABS เฉพาะล้อหน้า รุ่น Halcyon จะเป็นเพียงรุ่นเดียวที่มีตัวเลือกสีตัวถัง 3 ชุดสีแบบทูโทน และ Dark จะเป็นรุ่นเดียวที่ได้รับวงล้อแบบอัลลอยด์ ส่วนรุ่นที่เหลือจะเป็นล้อแบบซี่ลวดทั้งหมด

bec8d43da42f85eb05cbc0992954c248.jpg
87f6018309088afa817e4866d3ae05e0.jpg

ในส่วนของอุปกรณ์พื้นฐานบนตัวรถนั้น ระบบกันสะเทือนหน้าจะเป็นแบบ Telescopic ขนาด 41 มิลลิเมตร ด้านหลังแบบคอยส์สปริงคู่ ระบบไฟหน้าแบบหลอดไส้ฮาโลเจนทรงกลม ไฟเลี้ยว ไฟท้าย กระจกมองหลัง ก็จะเป็นทรงกลมทั้งหมด ในขณะที่ระบบเบรกนั้นมีให้เลือกทั้งแบบ ABS ช่องเดียวเฉพาะล้อหน้า และแบบสองช่องทางทั้งสองล้อ พร้อมกับจานดิสก์เบรกหน้าขนาด 300 มิลลิเมตรที่ด้านหน้า และ 270 มิลลิเมตรที่ล้อหลัง ในขณะที่วงล้อหน้าจะมีขนาด 19 นิ้ว ส่วนล้อหลังจะมีขนาด 18 นิ้ว น้ำหนักตัวจะอยู่ที่ 195 กิโลกรัม ในขณะที่เครื่องยนต์นั้นจะเป็นเครื่องยนต์แบบสูบเดียว 349 ซีซี ระบายความร้อนด้วยอากาศ ให้กำลังสูงสุด 20.2 แรงม้า (BHP) และแรงบิดสูงสุด 27 นิวตันเมตร เชื่อมต่อด้วยระบบส่งกำลังแบบ 5 สปีด และจะเป็นครั้งแรกที่โมเดล Classic 350 จะได้รับช่องเสียบชาร์จแบบ USB TYPE-A บนตัวรถอีกหนึ่งช่อง

bf6d98ff02563ebd4fe215e08792d511.jpg

น่าเสียดายที่เจ้า Classic 350 นั้นจะไม่มีการติดตั้งระบบใหม่อย่าง Tripper Navigation บนตัวรถจากโรงงาน แต่ผู้ซื้อสามารถติดตั้งได้ภายหลัง โดยจะเป็นส่วนขยายหลังการขาย ซึ่งผู้ซื้อสามารถสั่งซื้อและให้ช่างติดตั้งได้จากโรงงาน โดยจะเป็นหน้าจอแบบ TFT ขนาดเล็กทรงกลม แยกส่วนจากหน้าจอแสดงผลแบบอนาล็อกกึ่งดิจิตอล ที่ให้อารมณ์ย้อนยุคแบบเต็มที่

ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก www.rushlane.com