ที่มาของชื่อและตราสัญลักษณ์แบรนด์มอเตอร์ไซค์ ที่คุณอาจไม่รู้
เชื่อได้ว่ารถมอเตอร์ไซค์นั้นกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของหลายๆ คน แต่จะมีสักกี่คนที่ทราบถึงที่มาของชื่อและตราสัญลักษณ์ที่สวยงามเหล่านั้น วันนี้ทีมงาน Greatbiker เองก็อยากจะพาเพื่อนๆ ย้อนกลับไปสู่อดีตถึงที่มาของชื่อและตราสัญลักษณ์ของแบรนด์มอเตอร์ไซค์ที่หลายๆ คนอาจจะยังไม่รู้มาก่อน
หมวดหมู่นี้ค่อนข้างจะเป็นอะไรที่เราคุ้นเคยกันมาก เพราะส่วนใหญ่แล้วแบรนด์หลักๆ ของโลกมอเตอร์ไซค์นั้น มันจะเป็นแบรนด์ที่ยกเอานามสกุลของผู้ก่อตั้งมาเป็นชื่อแบรนด์ของคนเอง ยกตัวอย่างเช่น Ducati แบรนด์มอเตอร์ไซค์ระดับโลกจากประเทศอิตาลีที่มีผู้ก่อตั้ง Antonio Cavalieri Ducati และลูกชายทั้งสาม Adriano, Marcello และ Bruno Cavalieri หรือแม้แต่แบรนด์หมายเลขหนึ่งจากอเมริกา Harley-Davidson ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1901 โดย William S Harley และสองพี่น้อง Arthur และ Walter Davidson ที่ได้ยกเอานามสกุลของทั้งสองบ้านมาผนวกขึ้นมาจนกลายเป็นแบรนด์รถมอเตอร์ไซค์ระดับโลก และอีกแบรนด์ที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้กับค่ายปีกนก Honda ที่ก่อตั้งโดยชายผู้มหัศจรรย์กว่าใคร Soichiro Honda ในปี 1947
ไม่เพียงแบรนด์หลักสามแบรนด์ที่ยกเอานามสกุลของผู้ก่อตั้งมาเป็นชื่อประจำผลิตภัณฑ์ของตนเอง แต่ยังมี Benelli ที่ใช้นามสกุลของ Teresa Benelli ในการก่อตั้งแบรนด์ในปี 1911 หรือแม้แต่ Laverda ที่เริ่มต้นธุรกิจด้วยการผลิตเครื่องจักรอนุสาหกรรมด้านการเกษตรที่ก่อตั้งโดย Pietro Laverda ในปี 1873 หรือแม้แต่แบรนด์สกู๊ตเตอร์สายพันธ์อิตาเลี่ยนแท้ๆ อย่าง Piaggio เองก็ใช้นามสกุลของ Rinaldo Piaggio ในการก่อตั้ง แต่ก็ยังมีอีกหนึ่งแบรนด์ที่ใช้นามสกุลของผู้ก่อตั้ง มาผสมกับคำอื่นจนออกมาเป็นชื่อแบรนด์อย่าง Moto Guzzi ที่ใช้นามสกุลของ Carlo Guzzi ที่เป็นหัวเรือใหญ่ของบริษัท กับผู้ร่วมก่อตั้งอีกสองคน Giovanni Ravelli และ Giorgio Parodi ที่ได้นำเอาคำว่า Moto มานำหน้าเพื่อให้ชี้ถึงความเป็นรถมอเตอร์ไซค์บนตัวแบรนด์ และในปี 2021 นี้ก็เป็นปีที่ 100 พอดิบพอดีของการก่อตั้งแบรนด์อีกด้วย
ไม่เพียงแต่ Harley-Davidson เท่านั้นที่เป็นการนำเอานามสกุลของผู้ก่อตั้งมาผสมกัน แต่ยังมีอีกหนึ่งแบรนด์ระดับพรีเมี่ยมที่ใช้คำนำหน้าของนามสกุลของสามผู้ก่อตั้ง มาเรียงร้อยจนออกมาเป็นชื่อแบรนด์ นั่นก็คือ Bimota ที่เป็นการนำเอาคำชุดแรกของนามสกุล Valerio Bianchi, Giuseppe Morri และ Massimo Tamburini ซึ่งก่อตั้งแบรนด์กันในปี 1973 แต่ก็ยังมีอีกหนึ่งแบรนด์ที่แหวกแนวขึ้นไปอีก ด้วยการเอาคำชุดแรกของชื่อและนามสกุล มาผนวกเข้ากับสถานที่ในการก่อตั้ง อย่างแบรนด์ Cagiva ที่เป็นการยกเอาคำชุดแรกของชื่อผู้ก่อตั้ง Giovanni Castiglioni มาบวกกับชื่อเมืองที่เป็นฐานทัพใหญ่ Varese และสลับนำนามสกุลที่มีความสำคัญมากกว่าขึ้นก่อนจนกลายเป็นชื่อแบรนด์นี้
หลายๆ คนคงทราบกันว่า BMW นั้นเป็นการย่อตำจาก Bayerische Motoren Werke ชื่อแบรนด์ยานพาหนะระดับโลกสัญชาติเยอรมันที่หลายๆ คนอยากได้มาครอบครอง แต่จะมีใครทราบบ้างว่าชื่อแรกของบริษัทนั้นไม่ใช่ชื่อที่เราคุ้นเคยเลย แต่เป็นชื่อ Rapp Motoren-Werke ซึ่งหากไม่เปลี่ยนชื่อเมื่อปี 1917 อาจจะเรียกแบรนด์นี้ว่า RMW กันอย่างแน่นอน แต่ที่ลึกยิ่งกว่านั้น Rapp Motoren-Werke เริ่มต้นธุรกิจด้านกิจการที่ไม่เกี่ยวข้องกับรถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ แต่เป็นบริษัทผลิตเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบิน ซึ่งนั้นสามารถอธิบายที่มาของตราสัญลักษณ์ประจำแบรนด์ที่เป็นการยกเอาใบพัดของเครื่องบิน และการใช้สีน้ำเงินก็คือสีประจำของแคว้น Bavaria ที่เป็นพื้นที่ของสำนักงานใหญ่ของบริษัท โดยกว่าที่บริษัทจะผลิตรถมอเตอร์ไซค์ครั้งแรกก็ต้องย้อนกลับไปในปี 1923 หรือหลังจากก่อตั้งแบรนด์มา 6 ปี และผลิตรถยนต์ครั้งแรกในปี 1933
ส่วนแบรนด์ต่อไปนี้อาจจะซับซ้อนขึ้นไปอีกหน่อยถึงการได้มาของชื่อแบรนด์ Royal Enfield แบรนด์ที่กลับมาดังเปรี้ยงปร้างในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา โดยย้อนกลับไปในช่วงเริ่มต้นนั้น เกิดขึ้นในช่วงธุรกิจวิศวกรรมในช่วงทศวรรษที่ 1850 ที่กำลังรุ่งเรือง Eadie Manufacturing Company บริษัทเล็กๆในประเทศอังกฤษที่มีผลิตภัณฑ์หลักคือจักรยาน ได้เริ่มต้นในการทำธุรกิจใหม่ด้วยการจัดหาอะไหล่และอุปกรณ์ให้กับ Royal Small Arms Factory บริษัทผู้ผลิตอาวุธปืนไรเฟิลและดาบปลายปืนให้กับกองทัพในเครือสหราชอนาจักร โดยทั้งสองมีโปรเจกต์ทางการทหารร่วมกันด้วยการผลิตยานพาหนะสำหรับหน่วยจู่โจมเร็ว ที่จำเป็นต้องพึ่งพาการโดดร่มให้ห่างจากเขตศัตรูแต่มีความต้องการที่จะเคลื่อนผลให้ได้เร็วที่สุด จนออกมาเป็น 1901 WD/RE รถมอเตอร์ไซค์เคลื่อนที่ไว ที่มีจำเด่นที่น้ำหนักตัวเพียง 72 กิโลกรัม สามารถผูกติดกับตัวนายทหารและกระโดดร่มลงจากที่สูง และรถกว่า 95% สามารถใช้งานได้ทันทีที่ลงถึงพื้น ด้วยจุดนี้จึงก่อให้เกิด Royal Enfield ที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน
อีกหนึ่งตำนานที่อาจไม่คุ้นชื่อไบค์เกอร์ชาวไทยเท่าไหร่นัก Montesa แบรนด์ผู้ผลิตรถมอเตอร์ไซค์ Off-Road จากประเทศสเปน ที่เคยโด่งดังเป็นอย่างมากในช่วงยุค 1970 ด้วยก้าวไปคว้าแชมป์โลกรายการ World Trials ซึ่งแบรนด์นี้ก่อตั้งโดยนักวิศวกร Pere Permanyer Puigjaner และ Francisco Bulto ในปี 1945 โดยเน้นไปที่การสร้างรถมอเตอร์ไซค์ให้มีน้ำหนักที่เบาเป็นพิเศษ สำหรับการไต่เขาและขี่ในเส้นทางวิบากเป็นหลัก จนสามารถสร้างชื่อเสียงให้กับแบรนด์ด้วยการถูกยกให้เป็นผู้ผลิตรถมอเตอร์ไซค์แนว Trials ที่ดีที่สุดของโลก จนกระทั่งในปี 1958 สองหัวหอกในการก่อตั้งแบรนด์ก็แยกตัวออกไป หลังประสบปัญหากับหุ้นส่วนในการทำธุรกิจ และออกไปก่อตั้งแบรนด์ Bultaco และในปี 2000 Honda ก็เข้ามาควบคุมกิจการในที่สุด โดยที่มาของชื่อ Montesa นั้นเป็นคำที่ใช้สำหรับออกคำสั่งทหารม้าของสเปนในศตวรรษที่ 13 ซึ่งเป็นสาเหตุที่โลโก้ของมันอยู่ในรูปแบบของตราประทับขี้ผึ้งที่มีตัวอักษร “M” ในยุคกลางบนตัวตราสัญลักษณ์
ในเมื่อเรามีการพาดพิงถึง Bultaco แบรนด์จากประเทศสเปนที่มีผู้ก่อตั้งชุดเดียวกับ Montesa แล้ว จะไม่พูดถึงเลยก็คงเป็นเรื่องที่แปลกไปสักหน่อย โดย Bultaco ก่อตั้งโดยสองนักวิศวกร Pere Permanyer Puigjaner และ Francisco Bulto โดยทั้งสองมีชื่อเล่นที่มักจะเรียกกันในวงคนสนิทว่า Paco และ Bulto และเมื่อทั้งสองได้ออกมาทำอะไรที่เป็นตัวเองมากกว่าการอยู่กับแบรนด์เก่าก็จึงนำเอาชื่อเล่นของทั้งสองมาผสมกันจนออกมาเป็นชื่อแบรนด์ Bultaco และแน่นอนว่าตัวผลิตภัณฑ์ของพวกเค้านั้นก็ยังคงเป็นรถในแนวทางวิบากเช่นเดิม แต่ได้รับความร่วมมือกับ Sammy Miller นักแข่งชาวไอร์แลนด์เหนือ ในการขับขี่โมเดลแรกอย่างเจ้า “Sherpa” ในการแข่งขัน แต่ด้วยการทำธุรกิจที่เน้นไปที่ประสิทธิภาพ และสงครามทางอุตสาหกรรมของเครื่องยนต์สองจังหวะกับสี่จังหวะและปัญหาด้านมลพิษ ทำให้ Bultaco ต้องปิดตัวลงอย่างรวดเร็วหลังจากดำเนินธุรกิจได้เพียง 21 ปีเท่านั้น ส่วนที่มาของตราสัญลักษณ์นั้น เราเห็นได้ว่าเป็นการยกนิ้วโป้งให้ เหมือนกด Like ในปัจจุบัน ซึ่งทั้งสองผู้ก่อตั้งได้หยิบเอาพฤติกรรมส่วนตัวของ David Whitworth นักแข่งชาวสหราชอนาจักร ที่มักจะยกนิ้วให้กับนักแข่งทุกคนและผู้ชมรอบสนามแข่งถึงแม้ว่าตัวเองจะไม่เคยชนะในการแข่งขันเลยก็ตาม ซึ่งเป็นที่มาของการแสดงออกทางน้ำใจนักกีฬาที่ดี ส่วนตัวย่อด้านล่าง “CEMOTO” เป็นตัวย่อของ “CompañiaEspañola de Motores”
แบรนด์ต่อไป เริ่มเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกมากขึ้นหลังจากโมเดลแนวทางใหม่อย่าง vitpilen และ svartpilen ออกสู่ตลาดโลก ใช่แล้วแบรนด์ Husqvarna นั่งเอง หลายๆ คนคงทราบดีว่าแบรนด์นี้เป็นส่วนหนึ่งของ KTM แต่ก่อนหน้านี้ แบรนด์นี้ก็เคยเป็นส่วนหนึ่งของ BMW และ Cagiva มาก่อน โดยทาง KTM ได้ซื้อกิจการของ Husqvarna มาในปี 2013 จนถึงปัจจุบัน ส่วนการก่อตั้งแบรนด์นั้น Husqvarna ก่อตั้งในปี 1689 ไม่ผิดครับปี 1689 ในเมือง Huskvarna ประเทศสวีเดน ซึ่งที่มาของชื่อแบรนด์ก็ตามนั้นเลยครับ ใช้ชื่อเมืองเป็นชื่อ เล่นการสะกดอีกนิดหน่อย แต่จุดเริ่มต้นของบริษัทนั้นไม่เกี่ยวกับอุตสหากรรมยานยนต์เลย แต่เป็นการผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ สำหรับการทหารและการล่าสัตว์ จนกระทั่งในปี 1903 รถมอเตอร์ไซค์คันแรกของแบรนด์จึงผลิตออกมา และด้วยรากฐานของบริษัทในยุคเริ่มต้นนั้นคือการผลิตปืน ตราสัญลักษณ์ของแบรนด์ จึงเป็นเหมือนกับศูนย์เล็งบนกระบอกปืนนั่นเอง
มาต่อกันกับอีกหนึ่งแบรนด์ที่กำลังเป็นกระแสหลักจากได้ Mahindra เจ้าของใหม่จากอินเดียเข้ามาควบคุมกิจการ แบรนด์ BSA นั่นเอง โดยแบรนด์นี้เห็นได้อย่างชัดเจนจากตราสัญลักษณ์ว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับการผลิตอาวุธอีกอย่างแน่นอน ซึ่งมันก็จริงครับ BSA นั้นย่อมาจาก “Birmingham Small Arms” บริษัทผู้ผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์จาก West Midlands ที่ขยายไปสู่การผลิตรถจักรยาน มอเตอร์ไซค์และรถยนต์ ช่วงต้นทศวรรษ 1950 BSA ถูกยกให้เป็นหนึ่งในแบรนด์ผู้ผลิตรถยนต์ระดับโลกและเป็นรายใหญ่ที่สุดอีกด้วย โดยมีธุรกิจการผลิตอาวุธปืนและยุทโธปกรณ์ทางการทหารเป็นแรงขับเบื้องหลัง และมีส่วนสำคัญอย่างมากในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งบริษัทได้ผลกำไรจากสงครามเป็นอย่างมาก แต่หลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง ธุรกิจเบื้องหลังไม่สร้างผลกำไรอีกต่อไป ธุรกิจยานยนต์เองก็ดิ่งลงเหวในทันทีหลังจากทุมงบในการรักษาตำแหน่งผู้นำโลกยานยนต์เป็นจำนวนมาก บริษัทเกือบล้มละลายจนต้องขายกิจการในส่วนของการผลิตจักรยานต่อให้กับ Raleigh ในปี 1957 กิจการรถยนต์ Daimler ถูกขายให้กับ Jaguar ในปี 1960 การผลิตปืนทางทหารสิ้นสุดลงในปี 1961 และผลิตภัณฑ์กลุ่มสุดท้าย BSA ก็ผลิตรถคันสุดท้ายในปี 1973 และยุติธุรกิจไปในที่สุด ในส่วนของตราสัญลักษณ์นั้นในช่วงแรกชัดเจนว่าเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจทั้งหมด จึงมีการนำเอาปืนไรเฟิลมาเป็นตัวเองในตรา และในช่วงหลังจากการเริ่มทะยอยปิดธุรกิจต่างๆไป บริษัทหันมาใช้ตัวอักษร “B” เพียงตัวเองสำหรับตราสัญลักษณ์
มาต่อกับอีกแบรนด์ที่เริ่มจะคุ้นหูคุ้นตาพวกเรากันบ้างกับแบรนด์ Aprilia โดยแบรนด์นี้ก่อตั้งเมื่อปี 1945 โดย Alberto Beggio โดยเป็นบริษัทผู้ผลิตรถจักรยาน กว่าจะเริ่มผลิตรถมอเตอร์ไซค์คันแรกนั้นก็ปาเข้าไปสู่รุ่นที่สองของการดำเนินธุรกิจในปี 1968 โดย Ivano Beggio ผู้เป็นลูกชาย โดยเริ่มแรกมุ่งเน้นไปที่รถมอเตอร์ไซค์ในระดับไลท์เวท และประสบความสำเร็จอย่างมากในช่วงปลายทศวรรษที่ 1980 และ 90 ก่อนที่มันจะขยายขอบเขตตัวเองด้วยการย้ายไปสู่เครื่องยนต์ที่มีขนาดที่ใหญ่ขึ้นในรูปแบบ V-Twin ที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ และกิจการก็ถูกผนึกรวมเข้ากับ Piaggio ในปี 2004 จนถึงปัจจุบัน โดยชื่อของ “Aprilia” มาจากภาษาละติน โดยเป็นการเล่นกับคำว่า “April” ซึ่งแปลว่าอ่อนเยาว์หรือ “จุดเริ่มต้น” และรวมเข้ากับคำว่า Italia ที่บ่งบอกความเป็นชาตินิยม จนกลายออกมาเป็น Aprilia ในปัจจุบัน
มาต่อกันที่อีกแบรนด์ที่เราคุ้นเคย MV Agusta ก่อตั้งแบรนด์โดย Count Domenico Agusta ในปี 1945 อาจจะไม่แตกต่างจากบรรดาแบรนด์ที่กล่าวมาข้างต้นสักเท่าไหร่ โดยย้อนกลับไปในรากฐานแล้ว MV Agusta เองชื่อเดิมคือ Agusta และก็ไม่ต่างจากแบรนด์ที่กล่าวมา โดยบริษัทเป็นผู้ผลิตเครื่องบินในช่วงสงครามโลก แต่หลังจากสงครามยุติลง บริษัทก็พยายามรักษากิจการและคนงานที่อยู่ในความดูแลของพวกเค้าเอง จึงก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ด้วยการเปลี่ยนแนวทางธุรกิจไปสู่อุตสาหกรรมรถมอเตอร์ไซค์เต็มตัว โดยเติมอักษณย่อ MV ไว้หน้าแบรนด์ ดั่งที่เราเสมอๆว่า ตัวอักษรสามตัวเราของค่ายนั้นจะต้องขึ้นด้วยตัวพิมพ์ใหญ่เท่านั้น โดยคำว่า MV นั้นย่อมาจาก “Meccanica” ที่หมายถึงกลไก เครื่องจักร และ “Verghera” ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่เป็นฐานบัญชาการของ MV Agusta นั่นเอง และนี้ก็คือที่มาของตราสัญลักษณ์ของแบรนด์ที่เป็นรูป “ฟันเฟือง” และ “ปีกเครื่องบิน” ที่อยู่เบื้องหลังของตัวอักษร MV อย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน
และนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของที่มาของชื่อและตราสัญลักษณ์ของแบรนด์รถมอเตอร์ไซค์ที่เรานำมาให้เพื่อนๆ ได้อ่านเป็นข้อมูลประดับความรู้ เอาไว้เวลาใช้เป็นบทเริ่มต้นสำหรับวงสนทนาคนที่ชื่นชอบรถมอเตอร์ไซค์เหมือนกัน ส่วนแบรนด์อื่นๆ ที่เราไม่ได้กล่าวถึงในบทความนี้ หากมีโอกาสต่อไป เราก็จะนำเอาบทความภาคต่อมาให้เพื่อนๆได้อ่านกันอีก ไว้เจอกันคราวหน้าครับ
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก www.visordown.com
Keattisak Ngamkham – Writer, automotive journalist with experience The whole motorcycle industry and the motorsport industry Expert in doing reviews of all types of motorcycles.