เช็กฟอร์ม Valentino Rossi ที่อาจจะไม่ได้ไปต่อในฤดูกาลหน้า
ถือว่าเป็นฤดูกาลแข่งขันที่เริ่มต้นได้อย่างยากลำบากเป็นอย่างมากสำหรับ “พ่อหมอ” Valentino Rossi ปูชรียบุคคลในแวดวงมอเตอร์สปอร์ต ที่ให้นับกันจริงๆ แล้ว Rossi วนเวียนอยู่ในสนามแข่งขันมาตั้งแต่ปี 1996 ผ่านเวลามาร่วม 25 ปี และดูเหมือนว่าปีนี้เป็นการออกสตาร์ทฤดูกาลที่ไม่สู้ดีนัก ซึ่งส่งผลให้ภาพรวมของการแข่งขันตลอดทั้งฤดูกาล เราอาจจะไม่ได้เห็น Rossi ได้ไปต่อในฤดูกาลหน้าก็เป็นไปได้
อย่างที่เราทราบกันดี “พ่อหมอ” Valentino Roosi เจ้าของหมายเลข 46 ที่ในฤดูกาล 2021 นั้นต้องยอมเปิดทางให้กับคลื่นลูกใหม่อย่าง “เด็กปีศาจ” Fabio Quartararo ดาวบิดวัยรุ่นจากฝรั่งเศส และจำใจที่ต้องเข้าร่วมกับทีมรองอย่าง Petronas Yamaha SRT ร่วมทีมกับลูกศิษย์ที่ตนเองปลุกปั้นมากับมือ “จอมพลแฟรงค์” Franco Mobidelli ซึ่งก่อนที่เจ้าตัวจะตัดสินใจเข้าร่วมชายคาก็มีข่าวลือออกมามากมายถึง การครุ่นคิดที่จะเกษียนอายุนักแข่งของเจ้าตัว แต่ในที่สุดแล้ว “พ่อหมอ” ก็ตัดสินใจที่จะไปต่อและเข้าร่วมกับทีมในที่สุด
จุดเริ่มต้นของฤดูกาลที่ยากลำบาก เกิดขึ้นแทบจะทันที เพราะด้วยกฎ “Engine Freeze” ที่ห้ามไม่ให้ทีมแข่งหลักทำการพัฒนาเครื่องยนต์ แต่ยังคงพัฒนาในเรื่องของส่วนประกอบต่างๆได้ ซึ่งเจ้า Yamaha YZR-M1 ของปี 2021 นั้นมีการปรับปรุงในเรื่องของแชสซีใหม่ ที่ทำให้เกิดผลของการสึกหรอของยางที่น้อยลง ทำให้ตัวรถมาพร้อมกับกริบในการยึดเกาะที่ดีขึ้น แต่สิ่งที่แลกมานั้น ตัวรถจะไม่มีความเป็นมิตรเหมือนแต่ก่อน ความคล่องตัวน้อยลง และที่สำคัญคือตัวรถไม่สามารถทำความเร็วสูงสุดได้มากเท่ากับตัวเดิม ซึ่งเราเห็นไดชัดว่าผลงานโดยรวมของนักแข่ง Yamaha ทั้งสี่คน ดูดรอปลงเล็กน้อยในแง่ของความเร็ว แต่เสถียรภาพในการขับขี่นั้นมากขึ้น ตัวรถมีการสึกหรอของยางที่น้อยลง เราจะสังเกตเห็นได้ว่าในการแข่งขันรอบท้ายๆ M1 จะมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
ปัญหาที่สองของ Rossi ก็คือการย้ายทีม จากทีมโรงงานเข้าสู่ทีมรอง ถึงแม้ว่าทีม Petronas Yamaha SRT จะได้รับการซัพพอร์ตจากทีมโรงงานทั้งในส่วนของตัวรถ เทคโนโลยี และอุปกรณ์ต่างๆ แต่สิ่งที่สำคัญเป็นที่สุดของนักแข่ง ก็คือช่างหรือทีมวิศวกรคู่ใจ ที่สามารถปรับแต่งตัวรถได้ตามทำอธิบายของนักแข่ง ซึ่งการย้ายทีมในครั้งนี้ Roosi ต้องแยกทางกับนายช่างใหญ่ที่ทำงานร่วมกันกว่า 10 ปีและต้องเจอกับช่างคนใหม่ ที่ในช่วงเริ่มต้นนั้นอาจจะยังไม่สามารถปรับจูนกันได้ ทำให้ Rossi เองไม่สามารถรีดเค้นศักยภาพสูงสุดบนรถ M1 ได้
ปัญหาต่อมา ก็สืบเนื่องมาจากปัญหาด้านบน ที่ส่งผลให้ฟอร์มโดยรวมของ Rossi เรียกได้ว่าออกสู่มาหาสมุทธ ไกลกว่าทะเลเยอะเลย โดยการแข่งขัน 4 รอบที่ผ่านมานั้น พ่อหมอเก็บไปได้เพียง 4 คะแนนจากการคว้าอันดับที่ 12 ในรายการ Qatar motorcycle Grand Prix และในรอบการจับเวลาช่วงซ้อมนั้น เจ้าตัวก็ผลงานไม่สู้ดีนัก โดยสามารถจบในอันดับ Top 10 ได้เพียงรอบเดียวใน FP3 ที่รอบที่สอง และเมื่อเปรียบเทียบเวลาในการแข่งขันแล้ว เจ้าตัวทำผลงานได้ไม่สู้ดีนักเท่าไหร่
การเปรียบเทียบเวลาในการแข่งขันจริง ขอยกตัวอย่างจากสนามล่าสุดในประเทศสเปน อย่างสนาม Jerez เมื่อประมาณ 2 สัปดาห์ก่อน ซึ่งถ้าเราจะให้เทียบกันจริงๆ คงต้องเอาข้อมูลจากปี 2019 มาทำการเรียบเทียบ เพราะข้อมูลในปี 2020 นั้น ช่วงเวลาในการแข่งขันในฤดูกาลพิเศษที่ต้องเลื่อนไปเป็นช่วงหน้าหนาว อุณหภูมิ สภาพอากาศ ความร้อนของแทร็กค่อนข้างแตกต่างกัน ดังนั้นข้อมูลที่ใกล้เคียงกันมากที่สุดก็คือข้อมูลของปี 2019 ที่ใช้ช่วงเวลาในการแข่งขันที่ใกล้เคียง และมีข้อมูลประกอบที่ใกล้เคียงกัน
โดยผลงานในปี 2019 ในช่วงที่ Rossi อยู่กับทีมโรงงานนั้น เจ้าตัวจบการแข่งขันด้วยอันดับที่ 6 ซึ่งคนที่ยืนบนโพเดียมในปีนั้นก็คือ Marc Márquez, Alex Rins และ Maverick Viñales เพื่อนร่วมทีม Monster Energy Yamaha ในช่วงเวลานั้น โดย Rossi ทำเวลารวมในการแข่งขันไปทั้งสิ้น 41:16.232 นาที ส่วนการแข่งขันในครั้งล่าสุด Rossi ประคองรถ M1 เข้าเส้นชัย 25 รอบสนามด้วยอันดับที่ 17 ทำเวลารวมไป 41:28.333 นาที ห่างจากเดิม +12 วินาทีโดยประมาณ ซึ่งนี้นับว่าเป็นผลงานที่ดรอปลงอย่างน่าใจหายไม่น้อย
มองกลับไปยังผู้ที่ทำผลงานดรอปลงจากการเปรียบเทียบด้วยข้อมูลชุดเดียวกับ Marc Marquez ดาวบิดแชมป์โลก 8 สมัยของ Repsol Honda ผู้ชนะในปี 2019 ทำเวลารวม 41:08.685 นาที จบการแข่งขันในปี 2021 ด้วยอันดับที่ 9 เวลารวม 41:16.096 ช้ากว่าเดิม 7.411 วินาที แต่ก็อย่างที่เราทราบกัน นี้เป็นการกลับมาแข่งขันสนามที่สองของเจ้าตัวหลังจากพักยาวไป 1 ปี และกลับมาด้วยสภาพร่างกายที่ยังไม่สมบูรณ์ แต่ก็ใช่ว่า Rossi เองจะเป็นนักแข่งที่มีเวลาเปรียบเทียบที่ด้อยที่สุดของกลุ่ม แต่ยังมี Alex Rins ดาวบิดสเปนของ Suzuki Ecstar ที่ทำเวลาห่างจากปี 2019 ถึง 33.497 วินาที แต่!!!! ในการแข่งขันรอบจริง Rins เองพลากท่าล้มในรอบ 3 และเวลาส่วนมากที่เสียไปคือการดึงเอารถที่ล้มอยู่กลับมาแข่งขันใหม่ ซึ่งหากตัดเวลาจากการล้มจนถึงกลับมาแข่งขันต่อได้ Alex Rins ก็ทำเวลาโดยรวมที่ลดลงจากปี 2019 อยู่พอสมควร และยังมี Maverick Vinales อีกหนึ่งนักแข่ง Yamaha ทีมโรงงานที่ทำเวลาได้ไม่เท่ากับปี 2019 โดยจบการแข่งขันในปี 2021 ด้วยเวลาที่บวกเพิ่มอีก 0.125 วินาที
เรามองไปที่นักแข่งที่ผลงานไม่ค่อยดีกันไปแล้ว เรามาดูนักแข่งที่ผลงานดีขึ้นจากปี 2019 กันบ้าง โดยอ้างอิงจากการใช้รถแข่งแบรนด์เดิม จะพบว่า Miguel Olivera ดาวบิดโปรตุกีสของทีม KTM ทำเวลาได้ดีที่สุดโดยลดจากเวลาของปี 2019 ไปถึง -29.887 วินาที โดยส่วนหนึ่งของการพัฒนาแบบก้าวกระโดดนั้น ส่วนหนึ่งอยู่ที่ประสบการณ์ความชำนาญในการขับเจ้า RC16 ที่มากขึ้น และตัวรถแข่ง RC16 เองก็ถูกยกเว้นกฎ Engine Freeze ซึ่งทำให้ทาง KTM สามารถพัฒนาเครื่องยนต์ได้ต่อ และอีกหนึ่งนักบิดที่น่าจับตามองเป็นพิเศษ (ส่วนตัวปีนี้ผมของเชียร์เค้านะ) ก็คือ Aleix Espargaro นักแข่งจาก Aprilia ที่ลดเวลาตัวเองจากปี 2019 ได้ถึง -13.350 วินาที ตามมาด้วย Takaaki Nakagami ของทีม LCR Idemitsu Honda เวลารวม -10.151 วินาที ส่วนนักแข่ง Yamaha ที่ทำเวลาโดยรวมได้ดีกว่าปี 2019 ก็คือ Franco Mobidelli เวลา -8.795 วินาที
หลังจบการแข่งขันที่ Jerez ประเทศสเปน Valentino Rossi ได้เปิดใจให้สัมภาษณ์กับ MotoGP ไว้ว่า “มันเป็นการเริ่มต้นที่ยากลำบากเพราะผมยังเร็วไม่พอ เรามีปัญหากับการตั้งค่า M1 และปัญหานี้ก็ส่งผลให้ผมไม่สามารถสร้างผลงานที่ดีที่สุดได้ เราต้องหาวิธีแก้ปัญหาให้เร็วที่สุดพยายามที่จะแข็งแกร่งขึ้นและนำรถแข่งของเราไปสู่ขีดจำกัดให้ได้”
Rossi ได้กล่าวถึงการเซ็ทอัพตัวรถก่อนการแข่งขันไว้ว่า “ในรอบการซ้อม ผมพยายามเอาข้อมูลเดิมจากปี 2019 ที่มีองค์ประกอบใกล้เคียงกับปัจจุบันที่สุด และลองปรับแต่ง แล้วลงไปขี่ ผมพยายามแล้ว แต่ข้อมูลที่เรามีไม่สามารถให้การตอบสนองของรถแข่งที่ดีได้ ด้วยเหตุผลบางอย่างผมต้องทนทุกข์ทรมานมากขึ้น มันทำให้ผมช้าลงเรื่อยๆ และในที่สุดผมก็ช้าลงกว่าปีก่อนๆ จริงอยู่เราไม่สามารถยกเอาเรื่องยางมาเป็นข้ออ้างได้ กริบของยางดีขึ้นกว่าปีก่อน แต่เป็นเพราะอะไรผมไม่ทราบได้มันดึงผมให้ช้าลงไปกว่าเดิม สำหรับพวกเรามันเป็นเครื่องหมายคำถาม แต่ความจริงแล้วใน MotoGP ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงเร็วมากและจากปีหนึ่งไปอีกปีหนึ่ง ประสิทธิภาพมีการเปลี่ยนแปลงมากมายและทุกคนพยายามทำให้สิ่งต่างๆ ดีขึ้น แต่บางครั้งก็เป็นไปไม่ได้”
หลังการแข่งขันที่ Jerez ทาง MotoGP ก็มีรอบการทดสอบพิเศษ บนสนามเดียวกันนี้ โดย Valentino Rossi เองลงทำการซ้อมไปถึง 75 รอบสนาม คิดเป็นคนที่ออกมาวิ่งจำนวนรอบมากที่สุดเป็นอันดับที่ 4 แต่เวลาโดยรวมของเจ้าตัวรั้งอยู่อันดับที่ 12 โดยห่างจาก Maverick Vinales อดีตเพื่อร่วมทีม +0.821 วินาที ทั้งๆ ที่ทั้งสองใช้รถแข่งสเปกเดียวกัน ทุกอย่างเหมือนกัน แต่ผลลัพธ์กลับไม่เท่ากันซะอย่างงั้น
หลังจากการทดสอบ ก็ดูเหมือนว่า “พ่อหมอ” จะยังไม่ยอมแพ้ โดยออกมาให้สัมภาษณ์กับ MotoGP อีกครั้งด้วยทัศนคติที่บวกมากขึ้นกว่าหลังการแข่งขันจริง “มันเป็นวันที่ดีสำหรับผม เพราะเราทำงานกันหนักมาก และเราพยายามหลายครั้งมาก” Roosi กล่าวให้สัมภาษณ์ “เรามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพัฒนารถแข่ง เพราะเราต้องดิ้นรนอย่างมากในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ตอนนี้ความรู้สึกก็ไม่เลวร้ายเท่าไหร่ เราจบวันนี้ด้วยความรู้สึกที่ดีโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพราะผมรู้สึกดีขึ้นเมื่อขึ้นคร่อมเจ้า M1 และผมขี่มันได้มากขึ้น นานขึ้นและผมคิดว่าผมพัฒนาได้ดีขึ้นกว่ารอบแข่งจริง”
อาจจะเป็นไปได้ที่การแข่งขันเพียง 4 ครั้งที่ผ่านมา จะยังไม่สามารถตัดสินอะไรได้จนกว่าจะสิ้นสุดฤดูกาล แต่ดูเหมือนว่าหนทางจากจุดนี้ไปจนถึงปลายทางของ Rossi เองจะยาวไกลกว่าใคร ด้วยศักดิ์และศรีที่ค้ำคออยู่ การดูหลายๆ คนดูถูกว่าแก่เกินแกงด้วยอายุที่มากถึง 42 ปี การเข้ามาของหน้าใหม่ที่ดูเหมือนว่าจะค่อยๆกลืนคลื่นลูกเก่าไปอย่างช้าๆ การได้เห็นนักแข่งคนอื่นๆ เค้าเดินหน้าพัฒนาไปเรื่อยๆ แต่ตัวเองมีแต่ย่ำอยู่กับที่และค่อยๆ ถอยหลังไปทีล่ะก้าว มันอาจจะบั่นทอนความรู้สึก และกัดกินจิตใจนักสู้ของผู้ชายคนนี้ไปบ้าง แต่เชื่อได้เลยว่า “พ่อหมอ” Valentino Rossi ไม่ใช่คนที่จะมายอมแพ้ ถอนใจอะไรง่ายๆ เราคงต้องดูกันต่อไปอีกอย่างน้อยๆ ก็ยังมีการแข่งขันให้ได้ลุ้นกันอีก 15 สนาม โดยการแข่งขันครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นในสุดสัปดาห์ที่จะถึงนี้ (16 พฤษภาคม 2021) ที่สนาม Le Mans ประเทศฝรั่งเศส แฟนๆ ของ “46” ก็ต้องเอาใจช่วยกันต่อไปครับ
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก www.motogp.com www.asphaltandrubber.com
Keattisak Ngamkham – Writer, automotive journalist with experience The whole motorcycle industry and the motorsport industry Expert in doing reviews of all types of motorcycles.