ทำไม 2019 New Yamaha YZF-R3 (R25) ถึงไม่มี VVA
หลังจากเปิดตัวไปเมื่อสัปดาห์ก่อน สำหรับโมเดลสปอร์ตฟูลแฟร์ริ่งระดับ Entry Class จากทาง Yamaha กับเจ้า 2019 New Yamaha YZF-R3 ในบ้านเรา ก็มีคำถามมากมายจากเพื่อนๆ ทั้งทางช่องทาง Inbox ในแฟนเพจการสอบถามโดยตรง ทำให้ทางเรา GreatBiker เองต้องค้นข้อมูลลงลึกถึงสาเหตุที่ทำไมเจ้า R3 ตัวใหม่ถึงไม่ใส่เทคโนโลยีที่เป็นเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ากว่าค่ายคู่แข่งในท้องตลาดลงไปในโมเดลนี้
ครั้งแรกของการเปิดตัวเครื่องยนต์ VVA หรือเครื่องยนต์ Variable Valve Actuation ในรถมอเตอร์ไซค์ของค่าย Yamaha เกิดในโมเดล AT ขนาด 155 ซีซี อย่างเจ้า Aerox 155 ซึ่งการทำงานของระบบ VVA นั้นจะสอดคล้องกับรอบการหมุนของเครื่องยนต์ โดยมีการติดตั้งกระเดื่องวาล์ว 2 ตัวต่อ 1 วาล์ว โดยเจ้ากระเดื่องวาล์วนี้จะทำการปรับระยะของวาล์วให้เข้าใกล้กับลูกสูบในจังหวะที่อยู่ในรอบต่ำหรือตำแหน่งปกติ แต่พออยู่ในรอบสูง กระเดื่องวาล์วจะทำการปรับระยะของวาล์วใหม่ให้สูงขึ้นเพื่อให้การทำงานของลูกสูบที่หมุนต่อรอบทำงานได้ราบรื่นมากขึ้น ส่งผลให้ความเร็วของตัวรถและเครื่องยนต์สัมผัสกัน ได้อัตราเร่งที่ยอดเยี่ยมในทุกๆ ย่านความเร็วไม่เกิดอาการแผ่วปลายเหมือนกับเครื่องยนต์บล็อกที่ไม่มีระบบ VVA เข้ามาช่วยเหลือ
2016 Yamaha Aerox 155
ซึ่งการต่อยอดระบบ VVA นี้ไปยังโมเดลอื่นๆ ก็คือ Yamaha N-Max, Lexi 125 หากเราสังเกตจะพบว่าล้วนแล้วจะเป็นรถ AT หรือ สกู๊ตเตอร์ทั้งสิ้น กว่าเจ้าระบบ VVA นั้นจะลงในรถที่เป็นระบบเกียร์ธรรมดาก็ต้องรอจนถึงเจ้า Yamaha YZF-R15 ที่เปิดเปิดตัวในปี 2017 ที่ผ่านมา และล่าสุดใน Yamaha MT-15 ที่ใช้เครื่องยนต์เหมือนกับ R15 โดยรูปแบบที่แตกต่างกันของตัวรถเท่านั้น
เมื่อมองมาที่ 2019 New Yamaha YZF-R3 ทำไมถึงไม่มีระบบ VVA เข้ามาเป็นตัวชูโรง อันดับแรกที่เราอยากให้มองที่เครื่องยนต์พื้นฐานขนาด 321 ซีซี 2 ลูกสูบ 4 จังหวะแบบ DOHC 4 วาล์วต่อสูบ ให้พละกำลังสูงสุดที่ 42 PS ที่ 10,750 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 29.6 นิวตันเมตรที่ 9,000 รอบต่อนาที ซึ่งทางด้าน Michiharu Hasegawa หัวหน้าทีมโปรเจกต์ YZF ได้กล่าวไว้ว่า เจ้า R3 (R25) ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องติดตั้งระบบ VVA ในเครื่องยนต์ เพราะด้วยหลักการออกแบบแฟร์ริ่งใหม่ที่เสริมด้านพลศาสตร์ให้เจ้า R3 ตัวใหม่นั้นสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ดีกว่าโมเดลเดิมถึง 8 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งนั่นเป็นอะไรที่เพียงพอกับโมเดลระดับ Entry Class แล้ว
อย่างไรก็ตามทางเราได้ลองคิดในมุมมองที่เพิ่มเติมออกไปมากกว่านั้น อันดับแรกคือระบบ VVA ของทาง Yamaha นั้นยังไม่เคยเกิดขึ้นในเครื่องยนต์แบบ 2 ลูกสูบมาก่อน ดังนั้นการพัฒนาเครื่องยนต์แบบ 1 ลูกสูบ และ 2 ลูกสูบนั้นค่อนข้างมีความแตกต่างกันพอสมควร ซึ่งโมเดลใหม่ของปี 2019 นั้นอาจจะยังไม่พร้อมที่จะใส่เทคโนโลยี VVA เข้าไป และอีกอย่างที่สำคัญก็คือเรื่องของต้นทุนในการพัฒนา มันไม่ใช่ว่าจะเอาระบบ VVA มาใส่ได้ทันทีกับเครื่องยนต์บล็อกเดิมที่มีอยู่แล้วได้เลย มันต้องมีการปรับนั่นนี้โน้นอีกหลายอย่าง ซึ่งทำให้การปรับปรุงใหม่นี้ทำให้ราคาต้นทุนในการผลิตเครื่องยนต์นั้นสูงขึ้นตามไปด้วย หากเรานำเอาโมเดลเก่าอย่าง R15 เมื่อปี 2015 ที่ยังไม่มีการติดตั้งระบบ VVA เข้ามา มีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 86,000 บาท แต่พอโมเดลของปี 2017 ที่มีการติดตั้งระบบ VVA ประกอบกับระบบกันสะเทือนหน้าใหม่ราคากลับกระโดดไปที่ 95,500 บาท สิ่งนี้น่าจะชี้ให้เห็นได้ว่าการพัฒนาระบบใหม่ๆ ใส่ในรถมอเตอร์ไซค์จะยิ่งทำให้ต้นทุนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่งผลโดยตรงกับราคาขายอย่างชัดเจน แต่ก็ไม่แน่ว่าในเจนเนเรชั่นต่อไปของ All New YZF-R3 นั้นอาจจะมีการใส่ระบบ VVA เข้ามาก็เป็นได้
อย่างไรก็ดียังไม่มีการเปิดราคาของเจ้า 2019 New Yamaha YZF-R3 ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ แต่ราคาที่เปิดขายในสหรัฐอเมริกานั้น อาจจะใช้ไม่ได้กับบ้านเรา โดยราคาที่อเมริกานั้นมีราคาจำหน่ายอยู่ที่ราวๆ 164,000 บาท ในรุ่นที่ไม่มีระบบเบรก ABS และราคา 188,000 บาท สำหรับรุ่น ABS ซึ่งประเทศไทยจะนำเอารุ่น ABS เข้ามาวางจำหน่ายเพียงรุ่นเดียว โดยคาดการณ์ว่าราคาจำหน่ายจะอยู่ที่ราวๆ 195,000 บาท ถึง 200,000 บาท
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก motoblast.org
Keattisak Ngamkham – Writer, automotive journalist with experience The whole motorcycle industry and the motorsport industry Expert in doing reviews of all types of motorcycles.