รายละเอียดเพิ่มเติมของ 2019 Kawasaki Ninja H2 Carbon
หลังจากที่ได้รับการประกาศอัพเกรดโมเดลใหม่ของ 2019 Kawasaki Ninja H2 ทั้งสามโมเดลไปแล้ว เจ้า H2 Carbon จะมีรายละเอียดของโมเดลที่แตกต่างออกไปจาก 2 โมเดลมาตรฐาน H2 และ H2R โดยรายละเอียดที่ปรับเปลี่ยนไปนั้นจะมีอะไรบ้างไปติดตามกันได้เลยครับ
2019 Kawasaki Ninja H2 Carbon จะได้รับการปรับปรุงระบบ Supercharged ใหม่ทำให้เครื่องยนต์สามารถอัดอากาศได้มากขึ้นกว่าเดิมโดยจะมีแรงม้าสูงสุดเพิ่มขึ้นถึง 26 PS โดยจะมีการติดสัญลักษณ์ของระบบ Supercharged ใหม่ด้านข้างตัวเครื่อง หน้าจอแสดงผลที่จะปรับเปลี่ยนไปตามโหมดในการขับขี่ โดยจะได้รับหน้าจอแสดงผลแบบ TFT แบบเดียวกับที่ติดตั้งใน Kawasaki Ninja H2SX ปั้มเบรกหน้าใหม่จาก Brembo ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นแต่มีน้ำหนักที่เบากว่าเดิม รวมไปถึงประสิทธิภาพที่สูงขึ้น โดยเจ้าปั้มเบรกตัวนี้ทำให้อากาศสามารถไหลเวียนได้สะดวกขึ้น ทำให้สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพทุกสภาพอากาศ
ตัวถังน้ำมันจะได้รับการปรับปรุงเรื่องระบบไฟ LED รอบคัน เคลือบสีพิเศษ Self-Healing ที่สามารถซ่อมแซมตัวเองได้หากเกิดรอยขัดข่วน ชุดท่อไอเสียใหม่ที่ผ่านมาตรฐาน Euro4 พร้อมขับขี่ได้จริงบนท้องถนน และระบบ IMU ที่จะมาในรูปแบบของ 6 แกน ความสามารถในการทำงานของ Traction Control, Cornering ABS และการเข้าโค้งหรือเอียงตัวรถสามารถทำได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและปลอดภัยมากขึ้นอีกด้วย
สำหรับ 2019 Kawasaki Ninja H2 Carbon นั้นจะมีการตั้งราคาที่สูงกว่ารุ่น H2 ที่ 16,000 เยน หรือประมาณ 61,000 บาท โดยราคารวมของเจ้า H2 Carbon จะตกอยู่ที่ 1,132,600 บาท โดยประมาณ สำหรับประเทศไทยนั้นก็ต้องรอการนำเข้ามาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ซึ่งคาดว่าจะมีการเปิดตัวที่งาน Motor Expo ปลายเดือนพฤศจิกายนนี้ และพร้อมจะหน่ายจริงในช่วงต้นปี 2019 ที่กำลังจะมาถึงอย่างแน่นอน
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก www.young-Machine.com
Keattisak Ngamkham – Writer, automotive journalist with experience The whole motorcycle industry and the motorsport industry Expert in doing reviews of all types of motorcycles.
รายละเอียดเพิ่มเติมของ 2018 MV Agusta Tourismo Veloce 800 Lusso SCS และความแตกต่างของแต่ล่ะโมเดล
หลังจากที่เปิดตัวไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็เริ่มมีคำถามเข้ามาเกี่ยวกับเจ้า MV Agusta Tourismo Veloce 800 โมเดลใหม่ของทางค่ายรถมอเตอร์ไซค์จากประเทศอิตาลี เกี่ยวกับแนวทางของตัวรถ และระบบใหม่ที่เพิ่มเข้ามาอย่าง SCS ว่ามันทำงานกันอย่างไร และวันนี้ GreatBiker เรามีคำตอบให้เพื่อนๆ ครับ
ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่าเจ้า 2018 MV Agusta Tourismo Veloce 800 จะมีด้วยกัน 4 รุ่นย่อย โดยแต่ล่ะรุ่นจะมีความแตกต่างกันออกไปในแต่ล่ะส่วน โดยมีพื้นฐานที่เหมือนกันก็คือเครื่องยนต์ขนาด 798 ซีซี 3 ลูกสูบที่เป็นเอกลักษณ์ของรถมอเตอร์ไซค์จากค่าย MV Agusta โดยเป็นเครื่องตัวเดียวกันกับเจ้า Brutale 800 และ F3 Series สร้างแรงม้าสูงสุดได้ที่ 110 HP ทำความเร็วสูงสุดได้ 230 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และแนวทางของตัวรถนั้นจะเป็น Sport Adventure ที่เน้นการใช้งานทางเรียบมากกว่าเอาไปลุยในทางวิบาก ด้วยน้ำหนักตัวรถที่มีอยู่ 191 กิโลกรัม มันจึงเหมาะกับการขับขี่บนทางเรียบเสียเป็นส่วนใหญ่
MV Agusta Tourismo Veloce 800 Standard
โมเดลที่แตกย่อยออกมาจะเป็นโมเดล Tourismo Veloce 800 Lusso ที่จะมีความแตกต่างกันที่เรื่องของกล่องสัมภาระด้านข้างรถ ที่จะติดตั้งมาให้พร้อมใช้งานได้ทันที แตกต่างจากโมเดล Sttandard ที่มี Option ในการซื้อกล่องสัมภาระเพิ่มภายหลัง และนำหนักตัวรถนั้นจะมากกว่ารุ่น Standard อยู่ 1 กิโลกรัม และโทนสีของตัวรถที่จะเป็นสีโทนแดงดำ
MV Agusta Tourismo Veloce 800 Lusso
รุ่นต่อมาก็คือ Tourismo Veloce 800 RC ที่นำเอาเอกลักษณ์ของเจ้า MV Agusta F3 มาปรับใช้ในโมเดล Tourismo เพิ่มระบบ Quickshifter ทำให้ได้อารมณ์การขับขี่ที่เป็นสปอร์ตมากขึ้น
MV Agusta Tourismo Veloce 800 RC
อีกหนึ่งโมเดลที่เพื่อนๆ หลายคนให้ความสนใจก็คือ Torismo Veloce 800 Lusso SCS ที่เพิ่มเติมระบบ SCS หรือระบบ Smart Clutch System ซึ่งการทำงานของระบบนี้จะเหมือนกับระบบคลัทซ์มือออโต้ โดยสามารถปรับเปลี่ยนเกียร์ไม่ว่าจะขึ้นหรือลงได้โดยไม่ต้องกำคลัทซ์ ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกของโลกที่รถที่มีขนาดเครื่องยนต์เกินกว่า 700 ซีซี เลือกใช้งานระบบนี้บนรถมอเตอร์ไซค์ที่มีระบบเกียร์แบบ Manual เมื่อเรามองผ่านๆ จะเหมือนกับรุ่น Lusso ก่อนหน้านี้ แต่จะมีจุดสังเกตอยู่ 2 จุดใหญ่ๆ ส่วนแรกก็คือสติ๊กเกอร์ข้างถังน้ำมันที่จะมีเขียนติดไว้ว่า SCS และเป็นเบรกหลังจะมีตัวล็อกเบรก เพื่อใช้งานในการจอดบนทางลาด ไม่ให้ตัวรถไหลตามแรงโน้มถ่วงของโลกนั้นเอง
สำหรับราคาของ 2018 MV Agusta Tourismo Veloce 800 Standard ถูกวางไว้ที่ 16,990 ยูโร หรือประมาณ 633,600 บาท ส่วน Tourismo Veloce 800 RC ราคา 22,390 ยูโร หรือประมาณ 835,000 บาท Tourismo Veloce 800 Lusso ราคา 19,690 ยูโรหรือประมาณ 735,000 บาท และโมเดลสุดท้าย Tourismo Veloce 800 Lusso SCS ราคา 121,490 ยูโรหรือประมาณ 796,500 บาท โดยราคาเหล่านี้ยังไม่รวมภาษีนำเข้าจากประเทศอิตาลีนะครับ
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก www.asphaltandrubber.com
Keattisak Ngamkham – Writer, automotive journalist with experience The whole motorcycle industry and the motorsport industry Expert in doing reviews of all types of motorcycles.
รายละเอียดเพิ่มเติมของ 2018 Kawasaki ZX-10R SE
หลังจากที่เปิดตัวไปที่งาน EICMA SHOW 2017 ที่ประเทศอิตาลี Kawasaki ได้มอบประสบการณ์ใหม่ในการขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ Production ในรูปแบบของ Superbike ที่พัฒนาต่อยอดความสำเร็จจากการแข่งขัน WSBK2017 ที่จบฤดูกาลไปด้วยฐานะแชมป์โลก 3 สมัยซ้อน
โดยเจ้า 2018 Kawasaki ZX-10R SE นั้นถือว่าเป็นรถมอเตอร์ไซค์คันแรกที่ใช้ระบบ Electronics Suspension หรือระบบโช้คอัพไฟฟ้า ที่พัฒนาจากทีมงานของ Kawasaki Racing Team โดยได้ความร่วมมือกับผู้ผลิตระบบกันสะเทือนระดับโลกอย่าง Showa ช่วยกันพัฒนาจนออกมาเป็นระบบ KECS หรือระบบ Kawasaki Electronics Control Suspension ที่จะมีหลักการทำงานควบคุมโดยกล่อง ECU ที่จะประมวลผลรูปแบบของผู้ขับขี่และทำการปรับค่าความหนืดของตัวโช้คอัพหน้า โดยจะทำการเก็บค่าและประมวลผลทุกๆ 10 มิลลิเซก หรือ 0.10 วินาที โดยจะคำนวณจากอัตราการกดเบรก การใช้ความเร็ว ความบ่อยครั้งในการกระแทกคันเร่ง รวมไปการเอียงของแกน IMU ในขณะขับขี่ โดยเจ้าระบบ KECS นั้นจะปรับระยะยุบตัวของโช้คอัพหน้าและหลัง ให้สอดคล้องกับรูปแบบของผู้ขับขี่โดยอัตโนมัติ โดยเจ้าระบบ KECS นี้จะมีทั้งสิ้นสามโหมดให้เลือกใช้ Road, Track และ Manual ให้ผู้ขับขี่ได้เลือกใช้ตามสถานการณ์ได้เลย
ไม่เพียงแค่ระบบ KECS ที่ทาง Kawasaki ได้ใส่มาในเจ้า 2018 ZX-10R SE คันนี้ แต่ยังพัฒนาระบบต่างๆ ของตัวรถให้ดียิ่งกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นระบบ Quickshifter ที่ได้รับการออกแบบใหม่ให้มีความเป็น Racing ที่สูงขึ้น โดยสามารถเปลี่ยนเกียร์ได้ทั้ง UP/DOWN โดยข้อแม้ก็คือเครื่องยนต์ต้องมีความเร็วต่อรอบไม่ต่ำว่า 2500 รอบต่อนาที ก็จะสามารถใช้งานระบบนี้ได้เลย อีกจุดหนึ่งที่จะไม่พูดถึงเลยไม่ได้ก็คือ วงล้อ forged aluminum แบบ 7 ก้านจาก Marchesini ที่มีน้ำหนักเบาแต่สามารถลดแรงเสียดทานในยางได้อย่างดี เหมือนกับที่ใช้ในโมเดลตัวท๊อปอย่าง ZX-10RR โมเดลที่ใช้แข่งในรายการ WSBK2017 นั่นเอง
สำหรับ 2018 Kawasaki ZX-10R SE นั้นจะมาพร้อมกับทีเดียวสองสีคือสี Metallic Flat Black และ Metallic Matte Graphite Gray โดยจะเริ่มวางขายที่แรกในทวีปอเมริกาและยุโรปก่อน เป็นที่แรกแล้วค่อยมาลงในทวีปอื่นๆ เป็นลำดับต่อไป
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก www.motorcycle.com
Keattisak Ngamkham – Writer, automotive journalist with experience The whole motorcycle industry and the motorsport industry Expert in doing reviews of all types of motorcycles.
รายละเอียดเพิ่มเติมของ 2018 Honda GL1800 Goldwing
ไม่มีใครกล้าที่จะปฏิเสธความยอดเยี่ยมของ Honda Goldwing โมเดลมอเตอร์ไซค์สายแกรนด์ทัวร์ริ่งที่มีการพัฒนามาอย่างยาวนานของค่าย Honda ซึ่งมาในครั้งนี้เป็นการออกแบบโครงสร้างที่เรียกได้ว่ามีความสดใหม่ในตัวอยู่พอสมควร ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่มีความแตกต่างจากโมเดลเดิมอย่างสิ้นเชิง
Honda GL1800 หรือที่เราคุ้นหูกันในชื่อของ Goldwing นั้นเริ่มต้นสายการผลิตมาตั้งแต่ปี 2001 โดยได้ยึดถือเอาแนวทางของรถมอเตอร์ไซค์ในสไตล์แกรนด์ทัวร์ริ่ง ที่เน้นการใช้งานในการเดินทางไกลเป็นหลัก ซึ่งเจ้า Goldwing ก็ได้ตอบโจทย์ในเรื่องของสมรรถนะที่สมบูรณ์แบบ รวมไปถึงสิ่งอำนวยความสะดวกที่เรียกได้ว่าหรูหราทัดเทียมกับมอเตอร์ไซค์รูปแบบเดียวกันจากฝั่งอเมริกาได้อย่างไม่อายใคร
โดยการเปลี่ยนแปลงโมเดลครั้งใหญ่นี้ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบหัวจรดท้ายหรือ All New ซึ่งถือว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ทำให้เจ้า Goldwing มีขนาดที่เล็กลงกว่าเดิม น้ำหนักเบากว่าเดิม แต่สมรรถนะการขับขี่ยังคงอัดแน่นครบถ้วน และเหลือกว่าเดิม ด้วยขนาดเครื่องยนต์ 1833 ซีซี แบบ Flat-Six หกลูกสูบ 4 จังหวะ 4 วาล์วต่อสูบ มาพร้อมกับระบบ Massive Box ที่จะควบคุมระบบปล่อยไอเสียที่จะช่วยลดมลพิษในอากาศ ด้วยการทำให้เครื่องยนต์นั้นเผาไหม้ได้อย่างหมดจดกว่าเครื่องยนต์ตัวเดิม ซึ่งผลพลอยได้ของมันก็คืออัตราเร่งที่ต่อเนื่องและคงที่กว่าโมเดลก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด มีให้เลือกทั้งระบบเกียร์แบบธรรมดา 6 สปีด และแบบ 7 สปีด DCT หรือระบบ Dual Clutch transmission พร้อมด้วยเกียร์ถอยหลัง พร้อมระบบเกียร์ถอยหลังที่ให้ความสะดวกสบายกว่าเดิม
ย้อนกลับมาที่เรื่องของเครื่องยนต์กันอีกครั้ง ด้วยระบบ Massive Box ที่กล่าวไปในข้างต้นนั้นทำให้เจ้า Goldwing คันนี้มีแรงม้าสูงสุดที่ 126 Hp สูงขึ้นจากเดิมที่มีแรงม้าสูงสุดที่ 118 Hp และแรงบิดสูงสุดก็เพิ่มมากขึ้นจากเดิมที่ได้แรงบิดสูงสุด 166.7 นิวตันเมตรเปลี่ยนเป็น 169.4 นิวตันเมตร
โครงสร้างตัวถังแบบใหม่ Aluminum Beam Frame ที่ให้น้ำหนักที่เบาลงกว่าเดิม ระบบกันสะเทือนหน้าแบบ Double Wishbone ที่เราเคยเห็นใน BMW K1300 จากประเทศเยอรมัน ซึ่งถือว่าเป็นระบบกันสะเทือนแบบใหม่ที่ไม่เคยใช้ในตระกูล Goldwing มาก่อน โดยระบบกันสะเทือนหลังนั้นยังใช้แบบ Single Side – Swingarm เดิมเช่นที่เคยเป็นมา
การอัพเดตอีกหนึ่งอย่างนั้นก็คือระบบคันเร่งไฟฟ้าหรือ Ride-By-Wire ที่มาพร้อมกับโหมดการขับขี่ถึง 4 โหมดให้ได้เลือกใช้งาน ประกอบไปด้วยโหมด Tour, Sport, Eccon และ Rain ซึ่งจะปรับเปลี่ยนระดับการยุบตัวคืนตัวของโช้คอัพหน้าหลัง และการทำงานของระบบเบรกให้สอดคล้องกับโหมดที่เลือกใช้ในการขับขี่
มาต่อกันที่เรื่องของน้ำหนักตัวที่ลดลง สืบเนื่องมาจากโครงสร้างตัวถังแบบใหม่ที่ให้น้ำหนักเบากว่าเดิมนั้น ทำให้เจ้า Goldwing สำหรับปี 2018 นั้นมีน้ำหนักอยู่ที่ 365 กิโลกรัมในรุ่นปกติ หรือที่เราคุ้นเคยกันภายใต้รหัส F6C และน้ำหนัก 379 กิโลกรัมในรุ่น Tour หรือเมื่อเทียบกับโมเดลปี 2017 นั้นจะเทียบเท่ากับ F6B และน้ำหนัก 383 กิโลกรัมในรุ่น DCT ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบน้ำหนักกับตัวท๊อปของโมเดล 2014 ในรุ่น GL1800F นั้นมีน้ำหนักตัวถึง 419 กิโลกรัม ซึ่งเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน ว่าการขับขี่ในเมืองนั้นจะทำได้คล่องตัวมากกว่าเดิมอยู่พอสมควรเมื่อเทียบจากน้ำหนักตัวของมัน
ถือว่านี้เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สำหรับรถมอเตอร์ไซค์แกรนด์ทัวร์ริ่งอย่างเจ้า Honda Goldwing อย่างชัดเจนด้วยขุมกำลังที่เหนือกว่าเดิม น้ำหนักตัวที่เบากว่าเดิม แต่กลับได้สมรรถนะที่สูงขึ้น ซึ่งน่าจะตอบโจทย์ทั้งกลุ่มลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่ที่มีกลุ่มอายุที่ไม่มากนัก ด้วยรูปแบบการดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยวกว่าเดิมหลายช่วงตัวเลยทีเดียว สิ่งที่ต้องรอดูกันต่อไปนั้นก็คือการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ซึ่งต้องดูว่า A.P. Honda นั้นจะเลือกเวลาไหนในการเปิดตัวระหว่าง Motor Expo ปลายปีนี้ หรือ Motor Show ต้นปีหน้า แต่ไม่น่าพลาดที่จะมาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยอย่างแน่นอน
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก www.visordown.com
Keattisak Ngamkham – Writer, automotive journalist with experience The whole motorcycle industry and the motorsport industry Expert in doing reviews of all types of motorcycles.
รายละเอียดเพิ่มเติมของ 2018 Kawasaki Z900RS
หลังจากที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปแล้วสำหรับ 2018 Kawasaki Z900RS รถมอเตอร์ไซค์ในแนว Retro – Classic ในงาน Tokyo Motor Show 2017 เมื่อสองวันที่ผ่านมา ซึ่งก่อนหน้านี้ทีมงาน GreatBiker ที่ไปเกาะติดสถานการณ์ถึงประเทศญี่ปุ่นก็ได้ลงข่าวเกี่ยวกับสเปกพื้นฐานไปบ้างแล้ว และครั้งนี้เป็นการอัพเดตข้อมูลแบบละเอียดให้เพื่อนๆได้ทราบโดยทั่วกัน
Video Pormote 2018 Kawasaki Z900RS
2018 Kawasaki Z900Rs นั้นมีโครงสร้างพื้นฐานมาจาก Z900 และได้นำเอาแรงบันดาลใจจากเนกเกตไบค์รุ่นคุณปู่อย่างเจ้า Kawasaki Z1 และ Kawasaki Z2 รุ่นยอดนิยมที่ผลิตกันมาตั้งแต่ช่วงต้นยุค 70 มาเป็นแนวคิดในการออกแบบในครั้งนี้ โดยเครื่องยนต์ได้ใช้เครื่องยนต์ตัวเดียวกันกับที่อยู่ใน Z900 ด้วยขนาดเครื่องยนต์ 948 ซีซี 4 จังหวะ 4 ลูกสูบ แบบ DOHC ระบายความร้อนด้วยน้ำ กระบอกสูบ x ช่วงชักอยู่ที่ 73.4 x 56.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.8:1 ระบบหล่อลื่นแบบ Forced Lub สตาร์ทเครื่องยนต์ด้วยระบบไฟฟ้า ให้พละกำลังสูงสุด 109 แรงม้าที่ 8500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 98 นิวตันเมตรที่ 6500 รอบต่อนาที ซึ่งแรงบิดตรงนี้น้อยกว่า Z900 ที่วางไว้ที่ 7000 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์ 6 สปีด ระบบคลัทซ์แบบเปียกซ้อนกันหลายชั้น ส่งกำลังสุดท้ายด้วยระบบโซ่
โครงสร้างตัวถังแบบ Tubular Diamond ระบบกันสะเทือนหน้าแบบ Telescopic Upside-Down ระยะยุบตัว 4.7 นิ้ว ระบบกันสะเทือนหลัง Horizontal Back-link System ทำงานร่วมกับ Swingarm ระยะยุบตัว 5.5 นิ้ว มุม Caster 25 องศา วงเลี้ยวซ้ายขวา 35 องศา ระบบเบรกหน้า Dual Disc Brake ขนาด 267 มิลลิเมตร ระบบเบรกหลังดิสก์เดี่ยวขนาด 216 มิลลิเมตร ขนาดยางหน้าและหลัง 120/70ZR17 M/C (58W) และ 160/55ZR17 M/C (73W) มิติตัวรถมีความยาว 2100 มิลลิเมตร ความกว้าง 865 มิลลิเมตร ความสูง 1150 มิลลิเมตร ความสูงเบาะนั่ง 835 มิลลิเมตร ถงน้ำมันจุได้ 17 ลิตร น้ำหนักรวมน้ำมันเต็มถังและของเหลว 215 กิโลกรัม
มาดูกันในเรื่องของออฟชั่นที่ใส่มาใน Kawasaki Z900RS คันนี้กันบ้าง โดยระบบไฟส่องสว่างนั้นเป็นแบบ LED รอบคัน หน้าจอแสดงผลอนาล็อกแบบ 2 กระปุกกลมแยกส่วนการแสดงผลเป็นอัตราความเร็ว และอัตรารอบความเร็วเครื่องยนต์ โดยมีหน้าจอแบบ LCD กั้นกลาง แสดงข้อมูลตัวรถและปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิง โดยเจ้า Z900RS คันนี้มาพร้อมกับระบบ Assistant&Slipper Clutch ระบบ KTRC หรือ Kawasaki Traction Control ปรับได้ 2 ระดับ วงล้อขนาด 17 นิ้วที่ให้มานั้นเป็นรูปแบบของวงล้อแม็กซ์ที่ลอกแบบวงล้อซี่ลวดมาด้วยการลดขนาดของก้านให้มีขนาดที่เล็กลงทำให้ดูเหมือนเป็นล้อแบบซี่ลวดให้อารมณ์ความเป็นรถคลาสสิกที่แฝงความทันสมัยได้อย่างลงตัว
โดยมีราคา 485,000 บาท
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก www.motorcycle.com
Keattisak Ngamkham – Writer, automotive journalist with experience The whole motorcycle industry and the motorsport industry Expert in doing reviews of all types of motorcycles.