รีวิว KAWASAKI Ninja H2R
ทางค่ายยักษ์เขียวอย่าง Kawasaki นำเจ้า Ninja H2R ไปเปิดตัวที่งาน EICMA Show เป็นที่แรก และทางค่าย Kawasaki Thailand ก็นำมาให้โชว์ตัวกันในงาน Motor Show บ้านเรา ซึ่งเรียกเสียงฮือฮาได้ไม่น้อย เพราะการเปิดตัวครั้งนี้นั้น ทางค่ายยักษ์เขียว ได้บุกตีตลาดไลน์รถแรงๆ ด้วยการจับพ่วงเอาระบบ “ซูเปอร์ชาร์จเจอร์” เข้ามาร่วมด้วย ซึ่งโปรเจ็คนี้ถ้าเจาะลึกกันจริงๆ เหมือนมันเคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว ซึ่งในครั้งนั้นเป็นในกลุ่มของเครื่องยนต์ขนาด 750 ซีซีในปี 1972 ชื่อเสียงของรถรุ่น H2 Mark-IV ก็ยังคงเป็นที่พูดถึงกันอยู่จนถึงทุกวันนี้
รู้สึกอย่างไรกันบ้าง ว่าทำไมค่ายยักษ์เขียวถึงส่ง เจ้า Kawasaki Ninja H2R ลงแข่งขันให้มีเรื่องได้ฮือฮากันก่อนที่จะทำออกมาในเวอร์ชั่นที่วิ่งบนท้องถนนทั่วไป ซึ่งเท่าที่ทราบมาก็คือเหตุผลก็เพื่อให้ทีมออกแบบได้ใส่ไอเดียชั้นยอดเข้าไป โดยไม่มีข้อจำกัดเกี่ยวกับเรื่องค่ามาตรฐานต่างๆ ทั้งเรื่องของรถต้นแบบที่เกิดขึ้นได้อย่างเป็นอิสระ ไร้กรอบและข้อจำกัดใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของข้อกำหนด DOT/ EPA ถูกพับไว้ ทั้งแรงม้า และ สปีดลิมิท ก็ได้ถูกเปิดข้อจำกัดออกจนหมด แน่นอนว่า Kawasaki Ninja H2R ได้เคลมค่าความเร็วของเจ้านี่ได้มากถึง 320+ กิโลเมตรต่อชั่วโมงเลยทีเดียว
สำหรับการเกิดมาของเจ้า Kawasaki Ninja H2R นั้นถูกสร้างขึ้นมาภายใต้แบบฟอร์มของรถสไตล์สปอร์ตไบค์มาตรฐานที่ได้รับการออกแบบให้มีหน้าตาที่ฉีกไปจากเดิม โดยเฉพาะในส่วนของแฟรริ่งที่เป็นแอร์โร่ไดนามิค ที่ได้รับการตรวจสอบ ณ อุโมงค์ที่จังหวัด Gifu ซึ่งเป็นศูนย์กลาง Intense Force Design ระดับไฮเทคของประเทศญี่ปุ่น Kawasaki Ninja H2R มันคือรถที่ให้ค่าของแรงเสียดทานในอากาศน้อยที่สุดเท่าที่เคยผลิตมาสำหรับรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ เพราะ Kawasaki Ninja H2R ได้ทำการวางคอนเซ็พท์ให้เป็นรถที่มีสมรรถนะที่สูงสุดเท่าที่ค่ายยักษ์เขียวอย่าง Kasawaki เคยสร้างมาเลยก็ว่าได้ ด้วยตัวแฟรริ่งที่มีน้ำหนักเบา ที่เรารู้จักกันในวัสดุของ Cabon-FRP ซึ่งเบากว่า แข็งแกร่งกว่าคาร์บอนแบบปกติ ซึ่งจะทำงานร่วมกับแฟร์ริ่งด้านข้างที่เป็นวัสดุโพรี่โพไฟรีน (Polopropylene) ที่ได้รับการออกแบบมาให้เสมือนปีกนกเล็กๆ ที่คอยตัดทอนกำลังแรงลมที่ปะทะจากทางด้านข้าง คือจะให้หลักการเดียวกับเครื่องบิน ซึ่งเหตุผลที่ทำแบบนี้ก็เพื่อต้องการให้ได้ความเร็วที่เพิ่มมากขึ้นนั่นเอง
สำหรับด้านเครื่องยนต์นั้น Kawasaki Ninja H2R ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาจากตัวเครื่องยนต์บล็อคของ ZX-10R ที่เป็นเครื่องยนต์แบบ 4 สูบแถวเรียง โดยมีความจุของเครื่องยนต์อยู่ที่ 998 ซีซี แต่ทว่าการพัฒนาส่วนของการระบายความร้อนรอบ ๆ ห้องเครื่องที่มีการติดตั้งชุดอัดอากาศ “ซูเปอร์ชาจเจอร์” มาเสริมสมรรถนะ ซึ่งนั่นคือจุดที่สามารถขยับรอบเครื่องยนต์ให้ขึ้นไปอีก โดยเคลมไว้ที่ 14,0000 รอบ/ นาที เรียกว่าเป็นผลงานการสร้างสรรค์แบบสุดขั้ว
สำหรับชุดอัดอากาศ Kawasaki Ninja H2R เป็นชุดที่ได้รับการออกแบบมาใหม่โดยมีขนาดเล็ก และติดตั้งให้เชื่อมต่อในส่วนท้ายของเครื่องยนต์ ภายในได้รับการติดตั้งใบพัดพลังสูงแบบ 6 กลีบขนาด 2.7 นิ้ว ที่หมุนทำงานสูงสุดที่ 140,000 รอบ/ นาที แรงอัดสูงสุดที่ 38.4 Psi. โดยจะส่งผ่านอากาศผ่านท่ออะลูกมิเนียมสู่พอร์ทไอดี 4 ตัวสู่ห้องเครื่อง เรื่องของพละกำลังนั้นแทบจะไม่ต้องพูดถึง ให้จิตนาการราวๆ เครื่องยนต์ของเครื่องบิน 747 (มโนไปเอง) บล็อคเครื่องยนต์ซูเปอร์ชาร์จนั้น เกิดความร้อนสะสมที่ค่อนข้างสูง ทำให้การออกแบบชิ้นส่วนหรือการเลือกวัสดุจึงต้องมีความพิถีพิถันใส่ใจเป็นพิเศษ โดยเฉพาะชิ้นส่วนของวาล์ไอเสีย ที่เปรียบเสมือนชิ้นส่วนสำคัญที่ต้องรับหน้าที่หนักหลังจากการสันดาบของเครื่องยนต์ ในอัตราส่วนของกำลังอัดที่ 8.5:1 วัสดุ สแตนเลส คือ แนวทางรับมือ ซึ่งยังหมายรวมถึงลูกสูบที่ต้องใช้วัสดุคุณภาพที่สูงกว่า ZX-10R ประกับก้านสูบที่ใหญ่กว่าและใช้ชุดแบบริ่งที่ใหญ่กว่าเป็นเงาตามตัว
ความแรงของม้า ที่มีถึง 300 ม้า คือพิกัดของรถแข่งระดับโลก อย่าง MotoGP นี่คือแนวทางการสร้างสรรค์ที่เกิดขึ้นกับเจ้า Kawasaki Ninja H2R ที่ทำให้ต้องมีชุดเกียร์เหมือนที่อยู่ในรถ GP เข้ามาใช้งาน ซึ่งทั้งหมดนี้จะถูกวางไว้ให้อยู่บนโครงสร้างของตัวเฟรมหลัก ที่ดูแล้วจะเป็นแบบท่อกลมเชื่อมประสานกัน เหตุผลก็เพื่อต้องการรองรับเครื่องยนต์ที่มีแรงม้าสูงๆ ทั้งยังแข็งแรง ทนทานต่อแรงบิดในรอบเครื่องที่สูงจัดๆ ถัดมาในส่วนของช่วงล่าง ได้เชตเป็นของ KYB ซึ่งตัวรกะบอกโช๊คเป็นพาวเดอร์โคทติ้งดำ(DLC-Coated) ขนาด 43 ม.ม. ระบบการทำงานร่วมระหว่าง “ลม” (Air) และ “น้ำมัน” (Oil)กับซัพหลังตัวเดียวที่สามารถปรับตั้งค่าได้ทั้งแรงกดและดันกลับแบบละเอียดมากๆ และก็ยังไม่ได้ลืมที่จะพ่วงด้วยกันสะบัดหนืดๆ ของ Ohlins เหนือแผงคอบน ที่วางอยู่บนมุมของโช้คหน้า Kawasaki Ninja H2R โดยถังน้ำมันให้ความจุของน้ำมันเชื้อเพลิงที่ 17 ลิตร เบรกเลือกใช้ของ Brembo คาลิปเปอร์คู่เรเดียลเม้าท์ 4 พอท (ลูกสูบขนาด 30 ม.ม.) กับโรเตอร์จานเหล็กขนาด 330 ม.ม. ส่วนด้านหลังเลือกใช้เป็นแบบเดี่ยที่ลดขนาดจานลงมาเหลือที่ 250 มม. ล้อก็ออกแบบได้สวยงามลงตัวกับลายแปลกๆ ตา ที่เลือกใช้เป็นล้ออะลูมิเนียมรูปดาวแบบ 5 ก้านสีดำ ที่ขัดจนเงาให้เห็นเป็นเส้นสายที่ตัดกัน รัดด้วยยางสลิค (หน้า) ขนาด ล้อหน้า: 120/60R17 Bridgestone V01 slick
ล้อหลัง: 190/65R17 Bridgestone V01 slick ของ Bridgestone (สำหรับในตัวขาย H2 นั้นจะเป็นยาง Battlax RS10SG)
มาต่อกันที่มาตรวัดของ Kawasaki Ninja H2R นั้นจะเป็นแบบอนาล็อคในส่วนของรอบเครื่องยนต์ เข้ากับรูปทรงสี่เหลี่ยม แบบ LCD ที่สามารถแสดงค่าต่างไว้ได้อย่างครบครัน อาทิเช่น สัญญาณไฟต่างๆ ABS รวมไปถึงค่าบูท ดูได้ถนัดตาด้วยหลอด LED บน Launch Control สำหรับรุ่นนี้ถือว่าเป็นงานสร้างระดับมาสเตอร์พีซ ที่ถือว่าเป็นตัวชูโรงที่มีคุณค่าเลยก็ว่าได้ สำหรับ Kawasaki Ninja H2R จะถูกสร้างขึ้นมาเพียง 72 คันเท่านั้น แต่ระดับอย่างเราๆ และสำหรับในรุ่น Kawasaki Ninja H2 ที่มีจำหน่ายในบ้านเราตอนนี้ สนนราคาค่าตัวอยู่ที่ 1,498,000 บาท สาวกตัวจริงของค่ายยักษ์เขียว เรียกว่า ไม่ควรจะพลาด ถ้าใครที่ชื่นชอบความแรงละชอบเก็บสะสมแล้วละก็ !!!!!
ขอบคุณภาพจาก Kawasaki